Colorful — วันที่มองไม่เห็นสีอื่นใดในชีวิต
i_behind_you ·
Follow Published in“ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ·2 min read·Oct 26, 2018 7
Colorful หมายถึงสีสัน
ถ้าให้บรรยายสีสันของชีวิต , สีที่มาโคโตะบรรยายคงมีแต่สีหม่นเทา-ดำ
ชีวิตมัธยมต้นที่เขาจับได้ว่าแม่มีชู้ , พ่อเห็นแก่ตัว , พี่ชายชอบกระแนะกระแหนปมด้อย และเด็กสาวรุ่นน้องม.2ที่เขาแอบชอบดอดเข้าโรงแรมม่านรูดกับชายสูงวัย
นิยายแบไต๋มาหมดทุกอย่างว่ามาโคโตะเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ถาโถมมาขยี้จนเขาแหลกสลายในวันเดียว
แล้ว ‘น่าจะ’ทำให้เขาฆ่าตัวตาย
‘วิญญาณ’ ดวงหนึ่งถูกลบความทรงจำ
ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครเป็นอะไรตาย แต่เขาได้รางวัลจากเทวดาให้เข้าไปสิงร่างมาโคโตะหลังจากมาโคโตะตายไม่กี่นาที
โจทย์ของ ‘วิญญาณ’ คือต้องใช้ชีวิตในร่างมาโคโตะต่อไป โดยเทวดาที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์บอกว่ามันเสมือนการฝึกอบรม และถ้าดำเนินชีวิตผ่านไปราบรื่น เขาก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วขึ้นสวรรค์หรือเกิดใหม่
วิญญาณกลับไปใช้ชีวิตในฐานะมาโคโตะแล้วเผชิญกับโลกที่เขาเรียกว่า
“สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย โดดเดี่ยวและน่าสมเพช”
เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยความลับในนิยาย Colorful โดย Mori Eto
(นิยายได้รับการแปลเป็นไทยสองครั้ง ครั้งแรกในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ครั้งล่าสุดใช้ชื่อตรงตัวว่า Colorful , เคยถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นและล่าสุดเป็นแรงบันดาลใจในการทำเป็นหนัง Homestay)
เมื่ออ่านมาถึงตอนเฉลยความลับใน Colorful ว่าวิญญาณก็คือมาโคโตะที่ถูกเทวดาลบความจำ
ผมคิดถึง It’s a Wonderful Life ทันที
ตัวละครนำทั้งสองเรื่องตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทั้งคู่มองเห็นแต่สีดำในชีวิตหลากสี มองเห็นแต่ความทุกข์จนมองไม่เห็นความสุข มองเห็นเรื่องร้ายจนมองไม่เห็นเรื่องดี
หลังฆ่าตัวตาย เทวดามอบโอกาสให้ได้ลองแก้ตัวด้วยการใช้ชีวิตใหม่ด้วยการมองโลกด้วยเลนที่ต่างไปจากเดิม
พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่หากเขาไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมา มาโคโตะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกแบบเดิมแต่กลับไปในสภาพที่ถูกลบความจำ ปราศจากอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากการสะสมสิ่งขุ่นเคืองใจ
Colorful กับ It’s a Wonderful Life จึงเป็นเรื่องของ Second chance หรือโอกาสในการแก้ตัว
โอกาสครั้งนี้ทำให้ได้เห็นโลกส่วนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปที่ไม่เคยเห็นยามทุกข์รุมเร้า
มองเห็นสีสันของชีวิตที่มากไปกว่าเฉดเทาดำในยามเศร้าซึม
พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้เห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามีคุณค่าเคยช่วยผู้คนมากมายเพียงใด มีคนที่รักเขามากมายแค่ไหน มาโคโตะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอะไรไปหลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ใช่มีแต่เขาที่แบกความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว
และที่เหนือกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ่อซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่เคยรู้ คือการเข้าใจผิดว่าชีวิต‘ถูกเอาเปรียบ’
แต่จริงๆแล้วไม่มีใครเอาเปรียบเขาเลย เขาแค่รายล้อมกับผู้คนที่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งทำให้เขาผิดหวัง
แม่มีชู้เป็นปัญหาของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กขี้เบื่อที่ไม่ยอมโต แต่แม่ก็รักเขา
พ่อมีปัญหาในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขายของหลอกลวงลูกค้า แต่พ่อก็รักเขา
ฮิโรกะมีปัญหาในการจัดการกับชีวิต แต่เธอก็ตรงไปตรงมาและไม่เคยคิดเอาเปรียบมาโคโตะเลย
แต่มาโคโตะเองตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าสะสม เหมารวมปัญหาของคนรอบกายมาไว้กับตัว ทับถมกับปัญหาสุขภาพจิตที่มีมาหลายปี
ไล่ย้อนไปนับตั้งแต่การถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆสมัยประถม
จากที่มาโคโตะเคยเป็นคนสำคัญที่เพื่อนมาขอให้วาดรูป จู่ๆกลับไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สูญเสียความมั่นใจ
ต่อด้วยถูกรังแกล้อเลียน (bully) ในชั้นเรียนจากเพื่อนนิสัยไม่ดีแล้วลามไปเป็นกลุ่มใหญ่
ครอบครัวคือที่พึ่งพา ศิลปะคือที่เยียวยา
แต่เขาก็ยังเก็บตัวมากขึ้น วาดรูปสีหม่นขึ้น ซึมเศร้าลงเรื่อยๆ คำว่า ‘ตาย’ผุดพรายมาในหัว
จนมาถึงวันที่เหตุการณ์น่าผิดหวังของคนรอบตัวถาโถมใส่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
จึงไม่แฟร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายของมาโคโตะมาจากครอบครัวหรือคนที่เขารัก
มันคือปัญหาของหลายสิ่งที่ประกอบรวมกันในวันที่คนๆหนึ่งมองเห็นโลกไม่เหมือนเดิม
แล้วถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ หากอยากมองเห็นสีสันที่มากขึ้น
Colorful กับ It’s a Wonderful Life ก็บอกผ่านตัวเอกมาว่า ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘การรับรู้’ ว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถช่วยเหลือได้แค่บอกว่า สู้ๆนะ มองโลกในแง่ดีเถอะ ฯลฯ
สำหรับคนที่ตกในภาวะ ‘โลกนี้ไม่น่าอยู่’ แบบตัวเอกสองเรื่องนี้ มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีสันหรือสิ่งดีๆ
(1) ความเครียดรุนแรง(Stress)ที่หนักหนาสาหัสจนรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้
(2) สาเหตุจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ
เพราะความเครียดรุนแรงคล้ายการติดอยู่ในอุโมงค์ที่ค่อยๆตีบตัน ตื่นขึ้นมาสมองก็คิดถึงแต่ ‘ปัญหา’ จนแทบไม่เหลือพื้นที่คิดถึงเรื่องดีๆที่เข้ามา
ความรู้สึกไร้หนทาง (helplessness) กับความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness) จะเริ่มสร้างผนังถ้ำกั้นสายตาไม่ให้เห็นอื่นใดนอกจากปัญหา
ในขณะที่โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีผลต่อสมองในด้านความคิดกับอารมณ์
แม้ไม่อยากเศร้าแต่ก็เลือกไม่ได้เพราะอารมณ์ก็รังแต่จะหดหู่ตามสารสื่อประสาทที่แปรปรวน เกิดความคิดแง่ลบผุดพรายขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องการ
สีสันของชีวิตที่เคยเห็นหลากหลายก็จะเหลือแค่เทา-ดำ
โชคดีสำหรับสองตัวละครที่มีเทวดาและ Magic มาบันดาลโลกใบใหม่ มาบันดาลโอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต
แต่ในโลกที่ไม่มี Magic , สิ่งที่จะช่วยมาโคโตะได้โดยไม่ต้องรอให้เขาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพยายามเปลี่ยนแปลง
แม่ที่คิดถึงใจคนในครอบครัวมากขึ้น
พ่อที่พยายามหาเวลาพูดคุยกับมาโคโตะมากขึ้น
พี่ชายที่ใส่ใจความรู้สึกของน้องชายมากขึ้น
แต่นั่นคงไม่พอ
เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถหวังพึ่งจาก ‘คนอื่น’
การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นจนสัมฤทธิผล ต้องเริ่มต้นจากตัวเอง
โลกของมาโคโตะน่าอยู่ขึ้นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เริ่มต้นง่ายๆแบบไม่ต้องลึกซึ้งเช่น ตัดผมทรงใหม่ ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ใส่ความสนุกให้ชีวิตบ้าง เริ่มต้นที่จะเข้าใจชีวิตเหมือนที่เทวดาสอนเช่นตอนที่เทวดาบอกว่า “นายอายุ 14 มันเร็วเกินไปที่จะช่วยใครได้ ส่วนการบังคับคนที่อยากไปทางโน้นให้มาทางนี้ ขนาดบอสชั้น(เทวดา)ยังทำไม่ได้เลย” เริ่มต้นยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาส่วนตัวและไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่พ่อแม่ของเราเอง เริ่มเข้าหาคนอื่นบ้าง เปิดใจพูดคุยบ้าง เปิดรับเพื่อนใหม่บ้าง เริ่มมองคนหรือมองโลกที่ไม่เคยมองบ้าง และแน่นอนว่าตามที่เขาบรรยายเรื่องซึมเศร้าสะสม ซึ่งหากโลกจริงไม่มี magic ที่จะมาลบความทรงจำให้อาการเหล่านั้นหายแบบที่เทวดาทำ เขาก็ควรเข้ารับการบำบัดรักษาให้ดีขึ้น
เช่นเดียวกับโลกของพระเอกใน It’s a Wonderful Life จะน่าอยู่ขึ้นก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า เราไม่ใช่เฮอคิวลิสแต่คือคนธรรมดาๆที่ไม่สามารถแบกทุกๆปัญหาแล้วแก้มันได้ด้วยตัวเอง การปรับทุกข์ ระบายหรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไว้ใจ ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย
ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวในชีวิตเรื่องเดียวไม่ได้ทำลายทุกสิ่งดีๆที่เขาเคยทำมา
และสุดท้ายต้องพยายามไม่จมไปกับปัญหาเรื่องเดียว จนปัญหานั้นเป็นสมอถ่วงชีวิตให้ติดอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน
i_behind_you ·
Follow Published in“ผมอยู่ข้างหลังคุณ” ·2 min read·Oct 26, 2018
76
Colorful หมายถึงสีสัน
ถ้าให้บรรยายสีสันของชีวิต , สีที่มาโคโตะบรรยายคงมีแต่สีหม่นเทา-ดำ
ชีวิตมัธยมต้นที่เขาจับได้ว่าแม่มีชู้ , พ่อเห็นแก่ตัว , พี่ชายชอบกระแนะกระแหนปมด้อย และเด็กสาวรุ่นน้องม.2ที่เขาแอบชอบดอดเข้าโรงแรมม่านรูดกับชายสูงวัย
นิยายแบไต๋มาหมดทุกอย่างว่ามาโคโตะเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ถาโถมมาขยี้จนเขาแหลกสลายในวันเดียว
แล้ว ‘น่าจะ’ทำให้เขาฆ่าตัวตาย
‘วิญญาณ’ ดวงหนึ่งถูกลบความทรงจำ
ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครเป็นอะไรตาย แต่เขาได้รางวัลจากเทวดาให้เข้าไปสิงร่างมาโคโตะหลังจากมาโคโตะตายไม่กี่นาที
โจทย์ของ ‘วิญญาณ’ คือต้องใช้ชีวิตในร่างมาโคโตะต่อไป โดยเทวดาที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์บอกว่ามันเสมือนการฝึกอบรม และถ้าดำเนินชีวิตผ่านไปราบรื่น เขาก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วขึ้นสวรรค์หรือเกิดใหม่
วิญญาณกลับไปใช้ชีวิตในฐานะมาโคโตะแล้วเผชิญกับโลกที่เขาเรียกว่า
“สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย โดดเดี่ยวและน่าสมเพช”
เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยความลับในนิยาย Colorful โดย Mori Eto
(นิยายได้รับการแปลเป็นไทยสองครั้ง ครั้งแรกในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ครั้งล่าสุดใช้ชื่อตรงตัวว่า Colorful , เคยถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นและล่าสุดเป็นแรงบันดาลใจในการทำเป็นหนัง Homestay)
เมื่ออ่านมาถึงตอนเฉลยความลับใน Colorful ว่าวิญญาณก็คือมาโคโตะที่ถูกเทวดาลบความจำ
ผมคิดถึง It’s a Wonderful Life ทันที
ตัวละครนำทั้งสองเรื่องตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทั้งคู่มองเห็นแต่สีดำในชีวิตหลากสี มองเห็นแต่ความทุกข์จนมองไม่เห็นความสุข มองเห็นเรื่องร้ายจนมองไม่เห็นเรื่องดี
หลังฆ่าตัวตาย เทวดามอบโอกาสให้ได้ลองแก้ตัวด้วยการใช้ชีวิตใหม่ด้วยการมองโลกด้วยเลนที่ต่างไปจากเดิม
พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่หากเขาไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมา มาโคโตะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกแบบเดิมแต่กลับไปในสภาพที่ถูกลบความจำ ปราศจากอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากการสะสมสิ่งขุ่นเคืองใจ
Colorful กับ It’s a Wonderful Life จึงเป็นเรื่องของ Second chance หรือโอกาสในการแก้ตัว
โอกาสครั้งนี้ทำให้ได้เห็นโลกส่วนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปที่ไม่เคยเห็นยามทุกข์รุมเร้า
มองเห็นสีสันของชีวิตที่มากไปกว่าเฉดเทาดำในยามเศร้าซึม
พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้เห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามีคุณค่าเคยช่วยผู้คนมากมายเพียงใด มีคนที่รักเขามากมายแค่ไหน มาโคโตะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอะไรไปหลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ใช่มีแต่เขาที่แบกความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว
และที่เหนือกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ่อซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่เคยรู้ คือการเข้าใจผิดว่าชีวิต‘ถูกเอาเปรียบ’
แต่จริงๆแล้วไม่มีใครเอาเปรียบเขาเลย เขาแค่รายล้อมกับผู้คนที่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งทำให้เขาผิดหวัง
แม่มีชู้เป็นปัญหาของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กขี้เบื่อที่ไม่ยอมโต แต่แม่ก็รักเขา
พ่อมีปัญหาในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขายของหลอกลวงลูกค้า แต่พ่อก็รักเขา
ฮิโรกะมีปัญหาในการจัดการกับชีวิต แต่เธอก็ตรงไปตรงมาและไม่เคยคิดเอาเปรียบมาโคโตะเลย
แต่มาโคโตะเองตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าสะสม เหมารวมปัญหาของคนรอบกายมาไว้กับตัว ทับถมกับปัญหาสุขภาพจิตที่มีมาหลายปี
ไล่ย้อนไปนับตั้งแต่การถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆสมัยประถม
จากที่มาโคโตะเคยเป็นคนสำคัญที่เพื่อนมาขอให้วาดรูป จู่ๆกลับไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สูญเสียความมั่นใจ
ต่อด้วยถูกรังแกล้อเลียน (bully) ในชั้นเรียนจากเพื่อนนิสัยไม่ดีแล้วลามไปเป็นกลุ่มใหญ่
ครอบครัวคือที่พึ่งพา ศิลปะคือที่เยียวยา
แต่เขาก็ยังเก็บตัวมากขึ้น วาดรูปสีหม่นขึ้น ซึมเศร้าลงเรื่อยๆ คำว่า ‘ตาย’ผุดพรายมาในหัว
จนมาถึงวันที่เหตุการณ์น่าผิดหวังของคนรอบตัวถาโถมใส่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
จึงไม่แฟร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายของมาโคโตะมาจากครอบครัวหรือคนที่เขารัก
มันคือปัญหาของหลายสิ่งที่ประกอบรวมกันในวันที่คนๆหนึ่งมองเห็นโลกไม่เหมือนเดิม
แล้วถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ หากอยากมองเห็นสีสันที่มากขึ้น
Colorful กับ It’s a Wonderful Life ก็บอกผ่านตัวเอกมาว่า ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘การรับรู้’ ว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถช่วยเหลือได้แค่บอกว่า สู้ๆนะ มองโลกในแง่ดีเถอะ ฯลฯ
สำหรับคนที่ตกในภาวะ ‘โลกนี้ไม่น่าอยู่’ แบบตัวเอกสองเรื่องนี้ มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีสันหรือสิ่งดีๆ
(1) ความเครียดรุนแรง(Stress)ที่หนักหนาสาหัสจนรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้
(2) สาเหตุจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ
เพราะความเครียดรุนแรงคล้ายการติดอยู่ในอุโมงค์ที่ค่อยๆตีบตัน ตื่นขึ้นมาสมองก็คิดถึงแต่ ‘ปัญหา’ จนแทบไม่เหลือพื้นที่คิดถึงเรื่องดีๆที่เข้ามา
ความรู้สึกไร้หนทาง (helplessness) กับความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness) จะเริ่มสร้างผนังถ้ำกั้นสายตาไม่ให้เห็นอื่นใดนอกจากปัญหา
ในขณะที่โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีผลต่อสมองในด้านความคิดกับอารมณ์
แม้ไม่อยากเศร้าแต่ก็เลือกไม่ได้เพราะอารมณ์ก็รังแต่จะหดหู่ตามสารสื่อประสาทที่แปรปรวน เกิดความคิดแง่ลบผุดพรายขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องการ
สีสันของชีวิตที่เคยเห็นหลากหลายก็จะเหลือแค่เทา-ดำ
โชคดีสำหรับสองตัวละครที่มีเทวดาและ Magic มาบันดาลโลกใบใหม่ มาบันดาลโอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต
แต่ในโลกที่ไม่มี Magic , สิ่งที่จะช่วยมาโคโตะได้โดยไม่ต้องรอให้เขาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพยายามเปลี่ยนแปลง
แม่ที่คิดถึงใจคนในครอบครัวมากขึ้น
พ่อที่พยายามหาเวลาพูดคุยกับมาโคโตะมากขึ้น
พี่ชายที่ใส่ใจความรู้สึกของน้องชายมากขึ้น
แต่นั่นคงไม่พอ
เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถหวังพึ่งจาก ‘คนอื่น’
การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นจนสัมฤทธิผล ต้องเริ่มต้นจากตัวเอง
โลกของมาโคโตะน่าอยู่ขึ้นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เริ่มต้นง่ายๆแบบไม่ต้องลึกซึ้งเช่น ตัดผมทรงใหม่ ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ใส่ความสนุกให้ชีวิตบ้าง เริ่มต้นที่จะเข้าใจชีวิตเหมือนที่เทวดาสอนเช่นตอนที่เทวดาบอกว่า “นายอายุ 14 มันเร็วเกินไปที่จะช่วยใครได้ ส่วนการบังคับคนที่อยากไปทางโน้นให้มาทางนี้ ขนาดบอสชั้น(เทวดา)ยังทำไม่ได้เลย” เริ่มต้นยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาส่วนตัวและไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่พ่อแม่ของเราเอง เริ่มเข้าหาคนอื่นบ้าง เปิดใจพูดคุยบ้าง เปิดรับเพื่อนใหม่บ้าง เริ่มมองคนหรือมองโลกที่ไม่เคยมองบ้าง และแน่นอนว่าตามที่เขาบรรยายเรื่องซึมเศร้าสะสม ซึ่งหากโลกจริงไม่มี magic ที่จะมาลบความทรงจำให้อาการเหล่านั้นหายแบบที่เทวดาทำ เขาก็ควรเข้ารับการบำบัดรักษาให้ดีขึ้น
เช่นเดียวกับโลกของพระเอกใน It’s a Wonderful Life จะน่าอยู่ขึ้นก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า เราไม่ใช่เฮอคิวลิสแต่คือคนธรรมดาๆที่ไม่สามารถแบกทุกๆปัญหาแล้วแก้มันได้ด้วยตัวเอง
การปรับทุกข์ ระบายหรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไว้ใจ ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย
ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวในชีวิตเรื่องเดียวไม่ได้ทำลายทุกสิ่งดีๆที่เขาเคยทำมา
และสุดท้ายต้องพยายามไม่จมไปกับปัญหาเรื่องเดียว จนปัญหานั้นเป็นสมอถ่วงชีวิตให้ติดอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน