== หาหุ้นเด้ง แบบฉบับวิตามินหุ้น ==.

เมื่อวานมีพี่ที่สนิทคนนึงเปิดคลาสสอนหุ้น เลยชวนผมไปพูดเกี่ยวกับวิธีการหาหุ้นเติบโต หุ้นเด้ง ผมเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์บ้างสำหรับทุกคนโดยเฉพาะมือใหม่ เลยอยากเอามาแชร์ในเพจด้วยครับ เผื่อว่าจะได้ไอเดียเอาไปประยุกต์ใช้หาแนวทางการลงทุนของตัวเองต่อไป

.

** ทฤษฎีเจ้าชายกบ **

.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ปราสาทแห่งหนึ่ง มีเจ้าหญิงสิริโฉมงดงาม … เดี๋ยวจะกลายเป็นเพจเล่านิทาน สรุปเลยละกัน เรื่องนี้คือเรื่องที่ เจ้าหญิงแสนสวยจุ๊บ จุ๊บ กับเจ้ากบน้อย ที่แท้จริงแล้วคือเจ้าชายรูปงามที่โดนสาปไว้นั่นเอง 

.

หุ้นก็เหมือน “กบ” ที่มีอยู่เต็มไปหมด เราต้องหาตัวที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าชายให้เจอ แม้วันนี้มันอาจจะหน้าตาดูไม่ดี แต่ถ้าเราลองจูบเจ้ากบ มันอาจจะเป็นเจ้าชายให้เราก็ได้ ซึ่งจริง ๆ ในนิทานมันมีคำบอกใบ้อยู่แล้ว คือ กบตัวนี้มันพูดได้ซึ่งต้องไม่ใช่กบธรรมดาแน่ ๆ เราจึงควรติดตาม หุ้นก็เหมือนกัน ลองไปหาตัวที่น่าจะเป็นกบพูดได้ดูครับ แต่ถ้าหาผิดตัวมันอาจจะเป็น “แม่มด” ปลอมตัวมา อันนี้ก็ระวังกันให้ดี

.

================================

.

** หาหุ้นเด้งด้วย Growth Story **

.

ผมมีคำขวัญประจำใจเวลาลงทุนอยู่ว่า “หุ้นดี ใฝ่คุณธรรม ขยันทำกำไร” 

.

คือ หุ้นที่จะซื้อ ต้องดี เจ้าของหรือผู้บริหารมีธรรมมาภิบาล ไว้ใจได้ และสร้างผลกำไรให้กับบริษัท ซึ่งสุดท้าย “กำไรมา ราคาไป” นั่นเองครับ

.. 

พอพูดถึงกำไร สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ความเชื่อว่ากำไรจะมา เพราะราคาหุ้นคือสิ่งที่สะท้อนถึงอนาคต เช่น โรงไฟฟ้ากำลังจะเสร็จ คอนโดจะเริ่มโอน ช็อปช่วยชาติกำลังจะมา สิ่งเหล่านี้แม้ยังไม่เกิดจริง แต่คนส่วนมาเชื่อแล้ว ราคาหุ้นเลยวิ่งก่อนที่เรื่องจริงจะมา

..

“ลักษณะของหุ้นเด้งที่พบกันบ่อย” และผมใช้เองแล้วได้ผลก็มี 4 แบบ ครับ

.

1) หุ้นรายได้สูง มาร์จิ้นต่ำ แล้วพยายามขายของแพงขึ้น

.. 

หุ้นที่ขายสินค้าเป็นหมื่นล้าน แต่กำไรสุทธิ 2-3% ซึ่งประเด็นคือถ้าเค้าหาทางเพิ่มได้แค่ 1% กำไรเพิ่มที่ร้อยล้านเลยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ASIAN เราก็จะรู้ว่าขายอาหารทะเลแปรรูป NP อยู่ 1-2% แต่ปรับ mix การขายของใหม่โดยมาเน้นขายอาหารสัตว์ซึ่งมาร์จิ้นสูงกว่า และทำได้ดีจนวันนี้ NP 4% ราคาก็วิ่งแรงอย่างที่เห็น

.. 

หุ้นแบบนี้ คือ ซุนโงกุน หรือ โกคู ใน Dragon Ball ครับ ที่จะคอยฝึกฝน หาวิธีทำให้ตัวเองเก่งขึ้นทีละนิด ๆ ไปเรื่อย ๆ  

.

2) หุ้นที่คนไม่ค่อยนึกถึง แต่มาที กำไรระเบิดเลย

.. 

หุ้นแบบที่พูดชื่อไป คนมักจะถามว่า หุ้นอะไรนะ ขายอะไร ไม่รู้จัก แล้วราคาส่วนมากก็นอนนิ่ง ๆ sideway ไม่หวอหวา หุ้นแบบนี้มี 2 ประเภท คือ แบบที่กำลังซุ่มทำโปรเจ็คท์อยู่แต่ไม่ได้ป่าวประกาศเสียงดัง กับอีกแบบที่นิ่งยังไงก็นิ่งอย่างนั้นเพราะธุรกิจอาจจะตกดินไปแล้ว

.. 

หุ้นที่เราสนใจคือแบบแรก เช่น หุ้นอย่าง BR, RICHY (เป็นแค่ตัวอย่างที่ผ่านมาแล้วนะครับ ไม่ได้ให้ซื้อ) ที่มีโครงการขยายกำลังการผลิตเป็ดที่เนเธอร์แลนด์ 80% มีโครงการคอนโดกำลังรับรู้รายได้อย่างมาก อะไรประมาณนี้ ซึ่งถ้าเราขยันทำการบ้าน อ่านรายงานประจำปี ดูรายงานผู้ถือหุ้น ก็จะหาหุ้นแบบนี้เจอ

.. 

หุ้นแบบนี้ คือ โดเรมี ที่ไม่ค่อยออกมาเท่าไหร่ แต่พอมาทีก็มักจะช่วยทุกคนได้ตลอด

.

3) หุ้นผู้แพ้ แต่วันนึง หาแสงสว่างเจอ เลยกำไร

.. 

หุ้นที่วันนี้ธุรกิจย่ำแย่ กำลังอยู่ในช่วงมรสุม แต่พยายามหาทาง turn around กลับมาโตอีกครั้ง ส่วนมากที่เจอคือเปลี่ยน business model อย่าง 2-3 ปี ก่อนเราก็มักจะเห็น หุ้นหลายตัวที่มาทำโรงไฟฟ้าทำให้เติบโตกันเยอะ หรือหุ้นอย่าง RS ก็เปลี่ยนจากธุรกิจเพลงมาทำเครื่องสำอางจนเติบโต หรือบางทีเราลองไปดูหุ้นที่ปีนี้ขาดทุนหรือฐานกำไรต่ำ ๆ เพราะเหตุการณ์บางอย่างก็ได้ครับ เราก็อาจจะได้หุ้นแบบ JWD ที่กลับมาโต

.. 

หุ้นแบบนี้ คือ โนบีตะ ที่สอบได้ศูนย์ตลอด โดนรังแกเป็นประจำ แต่วันนนึงโดเรมอนก็มาช่วยเหลือทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่สำหรับเราโดเรมอนไม่ได้ออกมาจากลิ้นชักง่าย ๆ แบบนั้นนะ เราต้องออกไปตามหาให้เจอด้วยตัวเอง

.

4) หุ้นเด็กเรียนเก่ง โตแล้ว โตอีก ไปเรื่อย ๆ

.. 

อันนี้คือหุ้นดีพิมพ์นิยมทั่วไปที่บอกชื่อไปใครก็รู้จัก และร้อยทั้งร้อยก็อยากเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็น CPALL, BEAUTY, WORK ซึ่งเราก็จะเห็นตลอดว่าเปิดสาขาเพิ่ม ยอดขายต่อสาขาเพิ่ม เรตติ้งดี รายการน่าติดตาม เวลาซื้อหุ้นพวกนี้ถ้าไม่ได้ซื้อตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ก็ต้องรอตอนเขาพลาดซึ่งก็มีให้เราเห็นอยู่บ้าง ถ้าจำกันได้ก็อย่าง Beauty ปีทีแล้วที่มีข่าวผู้บริหารขาย หุ้นก็ตกเป็นเดือนเลย หรืออย่างตอน CPALL เจอกรณี insider เข้าไปก็ร่วงไปพักนึง 

..

 หุ้นแบบนี้ คือ เดคิสุงิ ครับที่เรียนเก่ง เรียนดีมาตลอด ถ้าเรามั่นใจว่าจะไปต่อ หรือรอตอนหกล้ม ก็จัดไปอย่าให้เสีย

.

==================================

.

พอพูดถึงหุ้นดีแล้วก็อยากจะพูดถึงหุ้นที่เราไม่ควรเอาตัวเข้าไปยุ่ง คือ

.

1) หุ้นล้างผลาญ ชอบซื้อ ชอบลงทุน แต่ไม่โต 

..

นืคือ ซูเนโอะ ที่วัน ๆ เอาแต่ใช้เงินซื้อของเล่น แต่ไม่ทำกำไรให้เติบโต เช่น หุ้นบางตัวไปซื้อที่ดินแปลงใหญ่มาเก็บไว้ หุ้นบางตัวปล่อยกู้จ่ายดอกสูง ๆ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท ถ้าคุณเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลแบบนี้ อย่าเข้าไปยุ่งเป็นอันขาดครับ

.

2) หุ้นโลกสวย เพ้อฝันถึงโครงการใหม่ ๆ แต่ไม่เคยทำสำเร็จ

..

นี่คือ ชิซูกะ ที่โลกนี้มีแต่สีชมพู มีฝันสวยงาม หุ้นหลายตัวก็เป็นครับที่มีโปรเจ็คท์หมื่นล้านแสนล้าน สร้างตึกสูงมีจุดขมดอย หุ้นบางตัวก็มีโครงการขยายโรงงานใหม่หวังว่าจะมีออเดอร์มาเท่าตัว แต่ของจริงไม่มี เยอะแยะเลยครับหุ้นแบบนี้ เราต้องลองเอาความฝันกับความจริงมาลากเส้นคู่กันว่ามันทับกันหรือเป็นแค่เส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน

.

3) หุ้นขาใหญ่ คนที่คุณก็รู้ว่าใคร

..

นี่คือ ไจแอนท์ ครับ เราอาจจะได้ยินว่าหุ้นตัวนี้ มีคนนี้อยู่เบื้องหลัง มีคนทำราคา เห็นคนนามสกุลนี้อยู่ในหุ้นหลาย ๆ ตัว ถ้าผมเห็นแบบนี้ ผมไม่ขอเข้าไปยุ่ง เพราะมันทำให้เราใจสั่น นอนไม่หลับ คือวันไหนดีก็ดีใจหาย หุ้นวิ่งแรง แต่พอวันไหนพี่จพอใจแล้วจะะเลิก ก็จบเกมส์แบบไม่ปราณีใคร อันตรายครับแบบนี้

วิธีการหาหุ้นเด้งของผมก็ประมาณนี้นะครับ จริง ๆ ยังมีเรื่อง Business Model เรื่อง Mind Set อะไรที่พูดไปอีกนิดหน่อย แต่เดี๋ยวมันจะยาวไป เอาไว้มีโอกาสจะเล่าให้ฟังกันครับ

.. 

หวังว่าคงจะมีประโยชน์ ได้ไอเดียกันบ้างนะครับ ถ้าใครเปิดคลาสอยากให้ผมไปช่วยบรรยาย ช่วยทำให้วุ่นวาย บอกได้นะครับ ถ้าผมจะสามารถลดการขาดทุนหรือทำให้นักลงทุนมีกำไรในตลาดหุ้นขึ้นมาได้ ผมยินดีครับ

.

#เจ้าชายกบ #หาหุ้นเด้งด้วยgrowthstory #วิตามินหุ้น

คำพิพากษา

คำพิพากษา
ความเป็นชายขอบและสิทธานุมัติทางสังคม
27 ตุลาคม 2560คำพิพากษา คำพิพากษา เป็นงานวรรณกรรมประเภทนวนิยาย ประพันธ์โดย ชาติ กอบจิตติ ได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ. 2524 และรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (South East Asia Writers Award : S.E.A. Write) พ.ศ. 2525 เล่าเรื่องของ “ฟัก” ชายหนุ่มผู้ตกเป็นจาเลยสังคมจากความผิดที่ตัวเขาเองไม่ได้ก่อ ถูกตีตราว่าเป็นคนเลวที่ประพฤติผิดแผกไปจากจารีตประเพณีอันดีงามของสังคม กระทั่งกลายเป็นตัวประหลาด เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ ได้รับความสมเพชจากคนในสังคม ท้ายที่สุดก็ต้องพบจุดจบอันน่าเวทนา สิ้นชีวิตไปอย่างไร้เกียรติ ไม่ต่างจากสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่มีใครใส่ใจ ซ้ายังมีแต่คนปีติยินดีที่ตัวอัปรีย์ในหมู่บ้านสูญสิ้นไปได้เสียที วรรณกรรมเรื่องนี้นาเสนอประเด็นเรื่องความเป็นชายขอบและสิทธานุมัติทางสังคมได้อย่างชัดเจน ปมขัดแย้งหลักของ คำพิพากษา คือความเข้าใจผิดของสังคมที่มีต่อฟัก กล่าวหาว่าฟักประพฤติผิดในกามกับ “นางสมทรง” ซึ่งมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงของตน กระทั่งได้รับการลงโทษทางสังคมโดยการถูกผลักออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ผู้ประพันธ์เปิดเรื่องด้วยกล่าวถึงปมปัญหานี้ในบทนำ เล่าต้นตอของปมปัญหา แล้วจึงบรรยายชีวิตของฟักตั้งแต่เด็ก พร้อมกับบรรยายลักษณะของสังคมที่ฟักอาศัยอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจจักรวาลของเรื่องอย่างคร่าว ๆ จากนั้นในเนื้อหาภาคแรกและภาคหลังจึงประพันธ์ให้เรื่องราวดำเนินไปตามลำดับเหตุการณ์โดยใช้การเล่าเรื่องแบบผู้รู้จำกัด คือเล่าโดยเน้นที่การรับรู้ผ่านมุมมองของตัวละครหลักเป็นหลัก ฟัก ตัวละครเอกของเรื่องผู้ตกเป็นจาเลยสังคมนี้ ครั้งหนึ่งเคยบวชเณร ร่าเรียนอยู่ใต้ร่มเงาของพุทธศาสนาอยู่นับปี ความเก่งกาจทางด้านศาสนาของสามเณรฟักทาให้เป็นความหวังของชาวบ้านว่าต่อไปจะมีพระอาจารย์ที่น่าเคารพอยู่คู่วัดอีกองค์หนึ่ง หลายคนถึงขั้นเรียกสามเณรฟักว่า ‘อาจารย์ฟัก’ ก่อนที่ฟักจะตัดสินใจสึกออกมาเพื่อดูแล “ฟู” ผู้เป็นบิดา กระนั้น ฟักก็ยังมิวายได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลตัวอย่างประจำตำบล เนื่องด้วยความประพฤติอันดีงามที่ฟักได้กระทำอยู่เป็นนิจ จุดเปลี่ยนของชีวิตฟักเกิดขึ้นเมื่อพ่อเสียชีวิตลง นอกจากอาชีพภารโรงที่ฟักได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแล้ว พ่อยังได้ทิ้งสมทรง หญิงไม่เต็มเต็งที่ตนรับเข้ามาอยู่ร่วมชายคาในฐานะภรรยาไว้ให้ฟักดูแลอีกด้วย กระทั่งเกิดข่าวลือว่าฟักได้สมทรงเป็นภรรยา นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ชีวิตของฟักดาเนินไปถึงจุดต่าสุดของชีวิต เพราะหลังจากวันนั้น ฟักก็เป็นที่โจษจันของชาวบ้านร้านตลาดว่า ‘เอาแม่เลี้ยงเป็นเมีย’ ต่อมศีลธรรมของคนในตาบลเริ่มทางาน วิพากษ์วิจารณ์ฟักกันอย่างสนุกสนาน แต่หาได้มีผู้ใดใส่ใจจะถามหาความจริงจากปากของฟักไม่ นานวันเข้าเมื่อฟักไม่ออกมาโต้แย้งเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง ก็เหมือนยอมรับกลาย ๆ ว่าที่ชาวบ้านพูดกันนั้นเป็นเรื่องจริง ฟักมีแต่จะเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน ไม่มีใครคบหา ยิ่งเมื่อฟักได้ลองลิ้ม รสสุราจนกระทั่งติดใจที่มันเป็นสิ่งที่ทาให้ตนหนีห่างจากโลกความจริงอันเจ็บปวดรวมทั้งความเครียดที่สะสมพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ความน่าเชื่อถือในตัวก็ยิ่งเหือดหาย จะพูดจะกล่าวอะไร หาได้มีใครเชื่อไม่ ซ้าร้าย ฟักยังถูกกระทาจากคนในสังคมอีกนานัปการ เช่น ถูกครูใหญ่โกงเงิน ถูกลอบดักทาร้ายร่างกาย ในขณะที่เรื่องราวเข้าใจผิดที่ชาวบ้านมีต่อฟักก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้นว่า ไอ้ฟักมีอะไรกับสมทรงในสวนที่รับจ้างดายหญ้ากลางวันแสก ๆ โดยไม่อายฟ้าดิน ไอ้ฟักโกหกหลวงพ่อผู้เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้าน ไอ้ฟักกล่าวหาครูใหญ่ ไอ้ฟัก ฯลฯ ผู้ประพันธ์ใช้วิธีเน้นย้าปมปัญหาเดิม คือความเข้าใจผิดที่คนในสังคมมีต่อฟัก ในการทวีความซับซ้อนของเรื่อง เพิ่มอุปสรรคและความยากลาบากแก่ฟักให้หนักหนายิ่งขึ้น โดยเสริมเข้าไปที่ปัญหาเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว วิธีนี้ทาให้เรื่องราวไม่ซับซ้อนมากนัก ผู้อ่านจึงได้มุ่งเน้นเรื่องราวไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับฟักเพียงอย่างเดียว แต่มีความสงสารเวทนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความทุกข์ที่ฟักได้รับ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อ่านเกิดความเวทนาฟักในฐานะผู้ที่ตกเป็นจาเลยสังคม ถูกสังคมพิพากษาในความผิดที่ไม่ได้ทาแล้ว ผู้ประพันธ์กลับเฉลยให้ประจักษ์ว่าตัวฟักเองก็ไม่ต่างจากชาวบ้านคนอื่น ๆ คือทาตัวเป็นไม่บรรทัด ตัดสินผู้อื่นที่ตนคิดว่ามีสถานะต่ากว่าตน จุดนี้มีข้อดีคือทาให้ผู้อ่านได้รู้จักฟักในอีกมิติหนึ่ง เรื่องราวดาเนินมาถึงจุดวิกฤติหลังเมื่อฟักถูกครูใหญ่โกงเงินและไปประณามครูใหญ่ถึงโรงเรียน ฟักถูกจับตัวไปคุมขังในคุกเป็นเวลาหลายชั่วโมงกระทั่งเกิดอาการอยากสุรา (ลงแดง) จนเสียชีวิตหลังได้รับการปล่อยตัวเพียงไม่นาน หลังจากนั้นเรื่องราวจึงค่อย ๆ ดาเนินผ่านจุดคลี่คลายและสู่จุดจบของเรื่อง คือการจัดการศพของฟักอย่างไร้เกียรติ แม้วิญญาณของฟักจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่ร่างกายของฟักยังอยู่ ศพของฟักถูกนามาใช้สาหรับทดลองเตาเผาศพแบบใหม่ ไม่ได้รับการประกอบพิธีทางศาสนาอย่างที่ควรจะเป็น ฟักสิ้นชีวิตอย่างไร้เกียรติ คงไว้แต่เรื่องตานานความเลวให้เป็นที่กล่าวขานกันเรื่อยไป โดยที่ฟักไม่มีโอกาสแม้แต่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง เมื่อพิจารณาเนื้อหา กล่าวได้ว่า คาพิพากษา เป็นวรรณกรรมชายขอบที่นาเสนอภาพของคนชายขอบหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือคนที่ถูกเชื่อว่าเป็นผู้ทาผิดจารีตประเพณีของคนหมู่มาก แม้ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องนับถือจากคนในสังคม แต่เมื่อใดก็ตามที่บุคคลผู้นั้นถูกเข้าใจว่าประพฤติตนดังว่า สังคมก็พร้อมผลักมันผู้นั้นให้ออกจากความเป็นปกติของสังคมทันที กลุ่มถัดมาคือคนที่กลายเป็นชายขอบเนื่องจากปฏิเสธความเชื่อหรือค่านิยมหลักที่สังคมยึดถือ ไม่ยอมประพฤติตนและรับเอาความเชื่อที่สังคมยึดถือว่าดี และกลุ่มสุดท้ายคือคนที่ดาเนินชีวิตของตนตามปกติ แต่สังคมกลับหยิบยื่นสถานภาพความเป็นชายขอบให้อันเนื่องมาจากทัศนคติบางประการของคนในสังคม ฟัก เป็นตัวแทนขอบคนชายขอบกลุ่มแรก ความเข้าใจผิดที่คนในสังคมมีต่อฟักคือการผิดประเวณี ร่วมเพศกับนางสมทรงซึ่งมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงคนเอง สาหรับสังคมเล็ก ๆ อย่างตาบลที่ฟักอาศัยอยู่แล้ว พฤติกรรมเช่นนี้น่ารังเกียจเกินกว่าจะรับได้ กรอบจารีตที่คนในตาบลนี้ยึดถือมีพื้นฐานตั้งอยู่บนความเชื่อทางพุทธศาสนา การกระทาของฟักที่ถูกเข้าใจผิดนี้ถือได้ว่าผิดศีลข้อที่สาม คือการประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ‘ผู้อื่น’ ในที่นี้หมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าของตนด้วยแล้ว การกระทาของฟักในข่าวลือเรื่องนี้จึงเรียกได้ว่าเลวทรามต่าช้าไม่ต่างจากพฤติกรรมของสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่พฤติกรรมที่คนปกติในสังคมจะทากัน ดังที่ “ละมัย” ต้นตอข่าวลือยกข้อสังเกตของตนมาเสริมว่า “…คงมีแต่หมาเท่านั้นที่หื่นกระหายอยู่ในเดือนนี้…” (คาพิพากษา, 2524 : 11) เมื่อเป็นเช่นนี้ ฟักจึงค่อย ๆ ถูกสังคมผลักให้กลายเป็นคนชายขอบในชั่วข้ามคืน หลังจากที่ข่าวลือจากปากนางละมัยแพร่ออกไปให้เป็นที่รู้กันในวงกว้าง เมื่อกลายเป็นคนชายขอบแล้วก็ยากที่ฟักจะกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกครั้ง ฟักไม่ได้พยายามอธิบายความจริงให้คนในสังคมเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าตนนั้นหาได้ประพฤติผิดในกามกับแม่เลี้ยงไม่ แต่หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งชาวบ้านจะเข้าใจและเลิกคิดว่าตัวเขาไม่ได้มีความประพฤติดังว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีโอกาส ฟักก็พยายามอธิบายว่าตนกับสมทรงไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใด แต่สายไปเสียแล้ว ความจริงที่ออกจากปากฟักกลายเป็นคาแก่ตัว เรื่องเล่าสนุกปากที่ออกจากปากคนนั้นคนนี้ เพิ่มเสริมเติมแต่งไปไม่รู้เท่าไรต่างหากที่กลายเป็นความจริงแทนที่ ความเป็นชายขอบที่สังคมหยิบยื่นให้ฟัก ทาให้เขากลายเป็นบุคคลที่ อ่านไม่ออก มองไม่เห็น ไร้ซึ่งพลังอานาจใด ๆ ในสังคมอีกต่อไป ในขณะที่นางสมทรง เป็นตัวแทนของคนที่ปฏิเสธความเชื่อหรือค่านิยมหลักที่สังคมยึดถือ ไม่ยอมประพฤติตนและรับเอาความเชื่อที่สังคมยึดถือว่าดี อาการทางประสาทของนางสมทรงสื่อถึงแนวความคิดที่แตกต่างจากคนหมู่มาก ทั้งนี้ แนวคิดและจารีตประเพณีของคนในสังคมที่นางและฟักอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่บนหลักของพุทธศาสนา

…วัดเป็นเสมือนศูนย์รวมของผู้คนในตาบลแห่งนี้ ลูกเกิดก็ต้องมาที่วัด ให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้

ตามวันเดือนปีของเด็กที่เกิดเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวลูก ส่วนพวกที่มีลูกหลานอายุครบบวชก็

ต้องมาบวชที่วัด จาพรรษาอยู่ที่วัด แน่นอนคนตายก็ต้องเอาศพมาเผกันที่วัด ใครจะพบปะ

สังสรรค์ กานันจะประชุมลูกบ้านต่างต้องมาที่วัด เจ้าหน้าที่จากอาเภอจะมาทาบัประจำตัวให้ประชาชนก็ต้องมาทาที่วัด… (คาพิพากษา, 2524 : 11) สำหรับนางสมทรงแล้ว แนวคิดนี้ไม่ได้อยู่ในซอกหลีบความคิดของนางเลย สาหรับนาง วัดเป็นเพียงแหล่งอาหารที่ช่วยให้นางอิ่มท้อง และเป็นโรงมหรสพชั้นเลิศยามมีงานบุญหรืองานศพของคนใหญ่คนโต หาได้เป็นศูนย์รวมใจหรือที่ที่จะมาหาความสงบสุขใต้ร่มเงาของพุทธศาสนาไม่ กล่าวคือ นางไม่ได้มีความคิดด้านศาสนาอยู่ในห้วงคานึงของนางเลย นางไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักบาปใด ๆ ทั้งสิ้น นางพอใจกับชีวิตหรรษาของนาง มีความสุขกับการลัดเลาะเที่ยวหาสมบัติอันได้แก่เศษขยะที่ชาวบ้านโยนทิ้งไว้ ประเด็นนี้ได้รับการตอกย้าให้ชัดเจนขึ้นในฉากวันบังสุกุลกระดูก ในวันนี้ คนในสังคมที่ยอมรับความเชื่อทางพุทธศาสนาอันเป็นจารีตหลักของสังคมต่างแต่งกายด้วยชุดสีขาว-ดา ขณะที่นางสมทรงแต่งกายด้วยเสื้อลายดอกแดงกับผ้าถุงสีส้มซึ่งเป็นชุดเก่งของนาง “ชุดเก่ง” ในที่นี้ เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อหรือแนวคิดที่นางยอมรับยึดถือ ไม่ว่าแนวคิดดังกล่าวจะเป็นความเชื่อใด แต่เมื่อความเชื่อของนางขัดกับชุดขาว-ดา อันเป็นสัญลักษณ์ของจารีตที่คนส่วนใหญ่ยอมรับแล้ว นางก็ถูกผลักให้กลายเป็นคนชายขอบ เป็นที่รังเกียจของคนในสังคมทันที ไม่มีใครคบค้าสมาคมกับนาง เพียงเพราะแนวคิดของนางไม่เหมือนคนอื่น “...สีแดงดอกเคลื่อนไปทางไหน สีขาว-ดาก็แหวกออกเป็นทาง…” (คาพิพากษา, 2524 : 71) นางสมทรงคงจะดาเนินชีวิตบนความเชื่อของตนไปอย่างปกติสุข หากนางไม่อุตริไปยุ่งย่ามกับความเชื่อที่คนส่วนใหญ่นับถือ แต่เมื่อใดก็ตามที่นางตั้งคาถามหรือกระทั่งลบหลู่ความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ยืดมั่นถือมั่นแล้ว นางก็จะถูกคนในสังคมลงโทษทันที

…นางเดินออกจากศาลาโรงทึมไปได้สักระยะหนึ่ง พลันสายตาไพล่ไปมองที่เจดีย์ซึ่งตั้งอยู่ทาง

ด้านข้างวิหาร มีคนกลุ่มหนึ่งกาลังนั่งพนมมือจับสายสิญจน์อยู่รอยเจดีย์ พระสี่รูปยืนถือ

ตาลปัตรจับสายสิญจน์สวดอยู่ ม่ายสมทรงหันเหทางเดินเข้าไปดู นางหยุดยืนค้าหัวคนนั่ง ยืนดู

อยู่สักครู่ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา โดยไม่มีใครรู้ว่านางขบขันอะไร

ทันใดนั้นม่ายสมทรงถลกผ้าถุงสีส้มขึ้นจนถึงเอว แอ่นเนินเนื้อไปทางคนกลุ่มนั้น ทิดส่งสุดระงับโทสะเอาไว้ได้ เขาและพี่น้องเหมือนโดนลบหลู่กันถ้วนหน้า ไม่เพียงเท่านั้น แต่เป็นการ ลบหลู่ต้นตระกูล ลบหลู่สิ่งที่เคารพบูชาอีกด้วย ทิดส่งวิ่งไล่กวดจนทันนาง ลงมือฟาดไม่ยั้งไม่ นับ ตีจนไม้หักกระเด็นคามือ ม่ายสมทรงวิ่งพลางล้มลุกคลุกคลานหนีเอาตัวรอดตกใจกลัว มี

รอยแดงเป็นแนวติดไปทั้งตัว…
(คำพิพากษา, 2524 : 73) ในขณะที่สัปปะเหร่อไข่เป็นตัวแทนของคนที่ดาเนินชีวิตของตนตามปกติ แต่สังคมกลับหยิบยื่นสถานภาพความเป็นชายขอบให้อันเนื่องมาจากทัศนคติบางประการของคนในสังคม ในกรณีนี้คือทัศนคติที่คนในสังคมมีต่ออาชีพสัปปะเหร่อ ชาวบ้านมองอาชีพสัปปะเหร่อว่าเป็นอาชีพที่สกปรก เนื่องด้วยลักษณะของงานนั้นต้องอยู่กับศพซึ่งเป็นสิ่งสกปรก มีกลิ่นเลือดและน้าหนองคาวคลุ้ง ไม่มีใครอยากสุงสิงกับสัปปะเหร่อไข่เท่าใดนักเนื่องด้วยเกรงว่าสิ่งสกปรกโสมมดังกล่าวจะกระเด็นกระดอนมาต้องร่างกายอันสะอาดผุดผ่องของตน ยามสัปปะเหร่อไข่ใส่บาตรพระ ก็ไม่มีพระรูปใดหรือเด็กวัดคนไหนทานอาหารของสัปปะเหร่อไข่

…จากอาชีพสัปปะเหร่อมันแสนสกปรก คลุกคลีกับคนตาย กลิ่นเน่าเหม็นของศพ คราบ

เหนียวเหนอะหนะของน้าเหลือง เข้า-ออกโกดังเก็บศพที่เหม็น อับชื้น หนู หนอนชอนไชศพ

สิ่งเหล่านี้น่ารังเกียจแต่แกกลับคลุกคลีอยู่กับมันได้ พลอยให้นึกคลื่นเหียน สิ่งเหล่านี้คงอบร่า

ให้แกเป็นคนสกปรก และกับข้าวที่แกใส่บาตรคงต้องติดเชื้อแห่งความสกปรกนั้นมาอย่างไม่

ต้องสงสัย… (คาพิพากษา, 2524 : 116) ฟัก สมทรง และสัปเหร่อไข่ต่างถูกสังคมหยิบยื่นความเป็นชายขอบให้ด้วยกันทั้งสามคน แต่น่าสังเกตว่าในจานวนนี้มีเพียงฟักคนเดียวที่พยายามกลับเข้าไปอยู่ในสังคมอีกครั้ง ฟักหวังอย่างยิ่งยวดว่าสักวันหนึ่งคนในสังคมจะเข้าใจกระจ่างชัดว่าเขากับสมทรงนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดต่อกัน เป็นเพียงแค่คนร่วมชายคาเดียวกันเพียงเท่านั้น ความเครียดที่ถาโถมเข้ามาหาฟักนั้นเกิดจากการที่ฟักใส่ใจคาวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ฟักปรารถนาให้สังคมชื่นชมตนอย่างที่เคยเป็น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้มองเขาอย่างคนปกติทั่วไปในสังคมก็เพียงพอ การเพียรทางานของฟัก นอกจากจะเพื่อหลีกหนีจากความเครียดที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนแล้ว ยังเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อสังคมว่าเขาเองไม่ใช่คนไร้ค่า เขายังสามารถทางานได้ดีไม่ต่างจากแต่เก่าก่อน เขายังมีประโยชน์ต่อสังคม สังคมจึงควรอ้าแขนรับเขากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งเสียที ตรงกันข้ามกับสมทรงและสัปปะเหร่อไข่ ทั้งคู่ไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของคนในสังคมมากนัก สมทรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง ในขณะที่สัปปะเหร่อไข่เองแม้จะเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้มันเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตเช่นกรณีของฟัก ทั้งสัปปะเหร่อไข่และสมทรงจึงใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แตกต่างกับฟักอย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุด กระบวนการที่สังคมทาให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นชายขอบ ก็ไม่ต่างกับการหยิบยื่นความอยุติธรรมที่ทาบนพื้นฐานของภาพมายาทางศีลธรรมที่สังคมตีกรอบขึ้นมานั่นเอง นอกจากประเด็นเรื่องความเป็นชายขอบ คาพิพากษา ยังนาเสนอประเด็นเรื่องสิทธานุมัติทางสังคม (social sanction) สิทธานุมัติทางสังคม คือวิธีการสร้างระบบการควบคุมและลงโทษทางสังคม ที่สังคมสร้างขึ้นเพื่อให้คนในสังคมปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่สังคมสร้างขึ้น หากผู้ใดไม่ประพฤติตนตามบรรทัดฐานที่สังคมยอมรับ แต่พฤติกรรมนั้นไม่ได้ถือเป็นความผิดพอที่จะทาให้ผู้นั้นได้รับการลงโทษทางกฎหมาย คนในสังคมก็จะลงโทษด้วยตนเอง ในกรณีของฟัก บทลงโทษที่ฟักได้รับจากสังคมคือการถูกติฉินนินทาและถูกผลักให้ออกจากการมีส่วนร่วมในสังคม ยิ่งมีข่าวลือของฟักในทางลบมากขึ้นเท่าใด เขาก็เหมือนถูกผลักให้ห่างออกจากขัณฑสีมาของความเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคมมากขึ้นเท่านั้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในกรณีของฟัก เขาถูกลงโทษจากสังคมทั้ง ๆ ที่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมโดยรวมว่าเขาได้เสียกับนางสมทรงจริง ๆ ด้วยซ้า กล่าวคือ ข่าวลือที่แพร่ออกไปเกี่ยวกับตัวเขาเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีเค้ามูลความจริงใด ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับสารนี้ไปก็หลงเชื่ออย่างง่ายดายและนาไปแพร่กระจายต่อจนกระทั่งนาความกลัดกลุ้มมาสู่ตัวฟัก เนื่องจากฟักได้กลายเป็นคนชายขอบกระทั่งทาให้ฟักกลายเป็นกลุ่มคนที่สังคม อ่านไม่ออก มองไม่เห็น คาพูดของฟักจึงไร้ซึ่งความน่าเชื่อถืออีกต่อไป สังคมเลิกใส่ใจความจริงจากปากฟัก แต่กลับยึดถือเอาคาบอกเล่าปากต่อปากจากคนอื่นเป็นสาคัญ ไม่ใช่ว่าฟักไม่เคยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ แต่ฟักไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมีอานาจโน้มน้าวใจใครได้อีกต่อไป ไม่ใช่เณรน้อยฟักหรืออาจารย์ฟักผู้เป็นที่เลื่อมใส ไม่ใช่พ่อฟักที่เป็นบุคคลตัวอย่างประจาตาบล แต่เป็นแค่ไอ้ฟักที่อุตริเอาเมียพ่อเป็นเมียตัวเอง ตรงกันข้าม คนที่มีอานาจพอจะทาให้สังคมเห็นดีเห็นงามไปด้วยและมีพลังพอจะโน้มน้าวสังคมได้ คือคนที่มีคุณลักษณะหรือประพฤติตามกรอบขนบประเพณีของสังคมหรือครอบครองคุณค่าที่สังคมยอมรับ ในที่นี้คือ ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง และศาสนา ด้วยเหตุนี้ ครูใหญ่ กานัน และหลวงพ่อ จึงเป็นตัวแทนของอานาจในวรรณกรรมเรื่องนี้ ทุกคาพูดของตัวละครทั้งสามจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นความจริงเสมอ เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างคนชายขอบในสังคมอย่างฟัก กับบุคคลที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสังคมอย่างครูใหญ่ จึงไม่แปลกที่สังคมจะเลือกเชื่อคาพูดของครูใหญ่มากกว่าจะฟักความจริงจากปากฟัก ลีลาการประพันธ์ของ ชาติ กอบจิตติ ในวรรณกรรมเรื่องนี้ที่โดดเด่นอย่างหนึ่ง คือการบรรยายรายละเอียดในแต่ละฉากอย่างละเอียด โดยเฉพาะการบรรยายอากัปกิริยาของฟักที่บรรยายแทบทุกอิริยาบถ การบรรยายรายละเอียดเช่นนี้ทาให้ผู้อ่านจินตนาการได้ชัดเจนทั้งภาพ เสียง กลิ่น ผู้ประพันธ์ไม่เพียงบรรยายถึงสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่ยังบรรยายกระทั่งความรู้สึก ห้วงคานึง และกระแสสานึกที่โลดเล่นอยู่ในสัมปชัญญะของฟัก ดังฉากต่อไปนี้

…นางนี่ก็ชอบดอกไม้เหมือนกัน ยิ่งดอกพู่ระหงสีแดงด้วยละก็เห็นไม่ได้ทีเดียว ไม่รู้เป็น

อะไร จะว่าบ้าก็ไม่ใช่ ไม่เคยเห็นอาละวาดสักที แต่ชักไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว นึกยังไงนะถึงเปิด

นมให้ครูปรีชาดู เมื่อหัวค่านี้ยังจะมาขอนอนด้วยอีก ชักยังไงอยู่ ฮื่ย… ไม่มั้ง คงไม่ใช่อย่างนั้น

หรอกน่า รึว่ามันคลั่งเพราะมันอยากวะ พ่อตายไปตั้งเดือนกว่าแล้วนี่หว่า ไอ้ทากันนี่เขาว่า

เสพติดนะ ลองได้เคยแล้วมันจะเลิกไม่ได้ง่าย ๆ เฮ้อ กิเลส… แล้วมันจะบ้ารึเปล่าวะนี่ ถ้าเกิด

บ้าขึ้นมากูจะทายังไง เฮ้อ พ่อ… เอาห่วงมาทิ้งไว้ให้ข้าแท้ ๆ ถ้าไม่มีนางเสียคนหนึ่ง ข้าคงจะ

บวชให้พ่อไปแล้ว ไม่ต้องมาเป็นทุกข์วุ่นวายใจอย่างทุกวันนี้ นี่ชื่อเสียงไม่เหลือแล้ว หมด

แล้ว…เอาเมียพ่อมาทาเมียตัวเอง… ไม่มีใครเชื่อเลยสักคนว่าข้าไม่เคยยุ่งกับเมียพ่อ พ่อรู้อยู่ใช่

ไหมว่าข้าไม่เคยยุ่งจริง ๆ แล้วทาไมไม่มีใครยอมเชื่อข้าล่ะ ครูใหญ่ยังไม่ยอมเชื่อเลย นางก็

ปากไวดันไปด่านางละมัยเขาเข้า ไม่รู้พูดออกมาได้ยังไง น่าอายจริง เฮ้อ… ถ้าได้ผู้หญิงคนอื่น

เป็นเมียก็คงไม่มีอะไร หรือว่าจะไล่มันไปอยู่ที่อื่นดีวะ… (คาพิพากษา, 2524 : 47) การบรรยายอย่างละเอียดกระทั่งลึกลงไปถึงระดับอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ทาให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วมกับตัวละคร ก่อให้เกิดความเห็นใจตัวละครที่ต้องประสบทุกข์เวทนานั้นและได้เข้าไปอยู่ในจักรวาลแห่งความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในระดับลึกซึ้ง (intimate) ถึงขีดสุด นอกจากนี้ วรรณกรรมเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ผู้ประพันธ์นาเสนอสัญลักษณ์เป็นภาพแทนของสิ่งต่าง ๆ ในสังคมผ่านการกระทาของตัวละครในเหตุการณ์ต่าง ๆ การสอดแทรกสัญลักษณ์นี้หลายครั้งก็นาเสนอพร้อมกันกับการใช้การเปรียบเทียบ เช่น เสียงระฆังในฉากวันสงกรานต์เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่สังคมเทิดทูนบูชา เช่น เกียรติยศ เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ และชาติตระกูล สิ่งเหล่านี้หาได้มีคุณค่าในตัวเองแต่แรกเริ่มไม่ แต่มนุษย์เป็นผู้มอบความหมายและตีค่าให้แก่มัน กระทั่งเอามาเป็นสิ่งวัดคุณค่าของมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่ “มือ” ที่ปรากฏในฉากเดียวกันนั้น เป็นสัญลักษณ์ของอคติของคนในสังคมที่คอยกดฟักไว้ไม่ให้กลับมายืนได้อย่างปกติในสังคม เป็นสิ่งที่มีแต่จะผลักให้ฟักกลายเป็นคนชายขอบมากขึ้นเรื่อย ๆ สัญลักษณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งคือ สุนัขสีดาที่มีท่าทางคล้ายสุนัขบ้า สุนัขตัวดังกล่าวเข้ามาในโรงเรียน กระทั่งพบเจอกับกลุ่มนักเรียน ครูใหญ่สรุปว่าอาการของสุนัขดังกล่าวคืออาการของสุนัขบ้า เพราะฉะนั้นจึงจาเป็นต้องฆ่าทิ้งเสียก่อนที่มันจะมาทาร้ายนักเรียนหรือคนอื่น ๆ ไม่มีใครตรวจสอบให้แน่ชัดว่าสุนัขตัวนี้เป็นสุนัขบ้าจริงหรือไม่ แต่ยึดเอาตามอาการเท่าที่เห็น แล้วจึงแถลงเป็นข้อสรุป หยิบยื่นความตายให้แก่มัน อาจด้วยเห็นว่ามันเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งซึ่งไม่ได้ครอบครองชีวิตที่มีค่าเท่าใดนัก เมื่อพิจารณาจะเห็นว่า สุนัขตัวนี้เป็นเสมือนตัวแทนของฟักทั้งในอดีต ปัจจุบัน และยังเป็นภาพทานายอนาคตของฟัก กล่าวคือ ฟักถูกเข้าใจผิดว่าได้เสียกับนางสมทรงโดยไม่มีผู้ใดมีหลักฐานมารองรับข้ออ้างดังกล่าว เช่นเดียวกับที่สุนัขตัวนี้ถูกเข้าใจว่าเป็นสุนัขบ้า ทั้งที่อาการที่มันเป็นอยู่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นอาการของโรคชนิดอื่น ฟักถูกก่นด่าสาปแช่งจากชาวบ้าน เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากชาวบ้านร้านตลาด ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่สุนัขตัวนี้ได้รับจากครูและนักเรียนในโรงเรียน ท้ายที่สุด สิ่งที่สุนัขตัวนี้ได้รับคือความตาย ไร้ซึ่งผู้เห็นใจ ตรงกันข้าม กลับมีแต่คนยินดีที่มันตายไปเสียได้ เช่นเดียวกับฟักในตอนจบที่ต้องสิ้นชีวิตอย่างไร้เกียรติและน่าเวทนา ศพของสุนัขตัวนี้ไร้ผู้ใส่ใจ เสมือนหนึ่งว่าเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง หาใช่ร่างกายที่เคยมีวิญญาณอันบริสุทธิ์อยู่ไม่ เช่นเดียวกับศพของฟักที่ถูกใช้ในการทดลองเตาเผาศพแบบใหม่ ไม่มีใครใส่ใจว่าควรจะนาไปประกอบพิธีตามศาสนาอย่างที่ควรจะเป็น คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ ถือเป็นงานประพันธ์วรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นโศกนาฏกรรมสามัญที่เกิดขึ้นอยู่เป็นนิจในสังคมไทยได้อย่างดีเยี่ยม มีลีลาการประพันธ์ที่สามารถนาพาผู้อ่านเข้าสู่จักรวาลในเรื่องในระดับที่ลึกถึงระดับความรู้สึกจิตในของตัวละคร ในขณะเดียวกันก็แทรกความหมายแฝงผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่องได้อย่างแยบยล สมควรแก่รางวัลที่ได้รับมาทั้งสองรางวัล


บทวิจารณ์โดย วุฒิชัย ม้องพร้า

คำพิพากษา

Colorful — วันที่มองไม่เห็นสีอื่นใดในชีวิต

i_behind_you·

FollowPublished in“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”·2 min read·Oct 26, 20187

Colorful หมายถึงสีสัน

ถ้าให้บรรยายสีสันของชีวิต , สีที่มาโคโตะบรรยายคงมีแต่สีหม่นเทา-ดำ

ชีวิตมัธยมต้นที่เขาจับได้ว่าแม่มีชู้ , พ่อเห็นแก่ตัว , พี่ชายชอบกระแนะกระแหนปมด้อย และเด็กสาวรุ่นน้องม.2ที่เขาแอบชอบดอดเข้าโรงแรมม่านรูดกับชายสูงวัย

นิยายแบไต๋มาหมดทุกอย่างว่ามาโคโตะเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ถาโถมมาขยี้จนเขาแหลกสลายในวันเดียว

แล้ว ‘น่าจะ’ทำให้เขาฆ่าตัวตาย

‘วิญญาณ’ ดวงหนึ่งถูกลบความทรงจำ

ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครเป็นอะไรตาย แต่เขาได้รางวัลจากเทวดาให้เข้าไปสิงร่างมาโคโตะหลังจากมาโคโตะตายไม่กี่นาที

โจทย์ของ ‘วิญญาณ’ คือต้องใช้ชีวิตในร่างมาโคโตะต่อไป โดยเทวดาที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์บอกว่ามันเสมือนการฝึกอบรม และถ้าดำเนินชีวิตผ่านไปราบรื่น เขาก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วขึ้นสวรรค์หรือเกิดใหม่

วิญญาณกลับไปใช้ชีวิตในฐานะมาโคโตะแล้วเผชิญกับโลกที่เขาเรียกว่า

“สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย โดดเดี่ยวและน่าสมเพช”

เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยความลับในนิยาย Colorful โดย Mori Eto

(นิยายได้รับการแปลเป็นไทยสองครั้ง ครั้งแรกในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ครั้งล่าสุดใช้ชื่อตรงตัวว่า Colorful , เคยถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นและล่าสุดเป็นแรงบันดาลใจในการทำเป็นหนัง Homestay)

เมื่ออ่านมาถึงตอนเฉลยความลับใน Colorful ว่าวิญญาณก็คือมาโคโตะที่ถูกเทวดาลบความจำ

ผมคิดถึง It’s a Wonderful Life ทันที

ตัวละครนำทั้งสองเรื่องตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทั้งคู่มองเห็นแต่สีดำในชีวิตหลากสี มองเห็นแต่ความทุกข์จนมองไม่เห็นความสุข มองเห็นเรื่องร้ายจนมองไม่เห็นเรื่องดี

หลังฆ่าตัวตาย เทวดามอบโอกาสให้ได้ลองแก้ตัวด้วยการใช้ชีวิตใหม่ด้วยการมองโลกด้วยเลนที่ต่างไปจากเดิม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่หากเขาไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมา
  • มาโคโตะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกแบบเดิมแต่กลับไปในสภาพที่ถูกลบความจำ ปราศจากอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากการสะสมสิ่งขุ่นเคืองใจ

Colorful กับ It’s a Wonderful Life จึงเป็นเรื่องของ Second chance หรือโอกาสในการแก้ตัว

โอกาสครั้งนี้ทำให้ได้เห็นโลกส่วนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปที่ไม่เคยเห็นยามทุกข์รุมเร้า

มองเห็นสีสันของชีวิตที่มากไปกว่าเฉดเทาดำในยามเศร้าซึม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้เห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามีคุณค่าเคยช่วยผู้คนมากมายเพียงใด มีคนที่รักเขามากมายแค่ไหน
  • มาโคโตะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอะไรไปหลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ใช่มีแต่เขาที่แบกความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว

และที่เหนือกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ่อซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่เคยรู้ คือการเข้าใจผิดว่าชีวิต‘ถูกเอาเปรียบ’

แต่จริงๆแล้วไม่มีใครเอาเปรียบเขาเลย เขาแค่รายล้อมกับผู้คนที่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งทำให้เขาผิดหวัง

แม่มีชู้เป็นปัญหาของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กขี้เบื่อที่ไม่ยอมโต แต่แม่ก็รักเขา

พ่อมีปัญหาในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขายของหลอกลวงลูกค้า แต่พ่อก็รักเขา

ฮิโรกะมีปัญหาในการจัดการกับชีวิต แต่เธอก็ตรงไปตรงมาและไม่เคยคิดเอาเปรียบมาโคโตะเลย

แต่มาโคโตะเองตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าสะสม เหมารวมปัญหาของคนรอบกายมาไว้กับตัว ทับถมกับปัญหาสุขภาพจิตที่มีมาหลายปี

ไล่ย้อนไปนับตั้งแต่การถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆสมัยประถม

จากที่มาโคโตะเคยเป็นคนสำคัญที่เพื่อนมาขอให้วาดรูป จู่ๆกลับไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สูญเสียความมั่นใจ

ต่อด้วยถูกรังแกล้อเลียน (bully) ในชั้นเรียนจากเพื่อนนิสัยไม่ดีแล้วลามไปเป็นกลุ่มใหญ่

ครอบครัวคือที่พึ่งพา ศิลปะคือที่เยียวยา

แต่เขาก็ยังเก็บตัวมากขึ้น วาดรูปสีหม่นขึ้น ซึมเศร้าลงเรื่อยๆ คำว่า ‘ตาย’ผุดพรายมาในหัว

จนมาถึงวันที่เหตุการณ์น่าผิดหวังของคนรอบตัวถาโถมใส่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

จึงไม่แฟร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายของมาโคโตะมาจากครอบครัวหรือคนที่เขารัก

มันคือปัญหาของหลายสิ่งที่ประกอบรวมกันในวันที่คนๆหนึ่งมองเห็นโลกไม่เหมือนเดิม

แล้วถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ หากอยากมองเห็นสีสันที่มากขึ้น

Colorful กับ It’s a Wonderful Life ก็บอกผ่านตัวเอกมาว่า ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘การรับรู้’ ว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถช่วยเหลือได้แค่บอกว่า สู้ๆนะ มองโลกในแง่ดีเถอะ ฯลฯ

สำหรับคนที่ตกในภาวะ ‘โลกนี้ไม่น่าอยู่’ แบบตัวเอกสองเรื่องนี้ มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีสันหรือสิ่งดีๆ

(1) ความเครียดรุนแรง(Stress)ที่หนักหนาสาหัสจนรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้

(2) สาเหตุจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ

เพราะความเครียดรุนแรงคล้ายการติดอยู่ในอุโมงค์ที่ค่อยๆตีบตัน ตื่นขึ้นมาสมองก็คิดถึงแต่ ‘ปัญหา’ จนแทบไม่เหลือพื้นที่คิดถึงเรื่องดีๆที่เข้ามา

ความรู้สึกไร้หนทาง (helplessness) กับความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness) จะเริ่มสร้างผนังถ้ำกั้นสายตาไม่ให้เห็นอื่นใดนอกจากปัญหา

ในขณะที่โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีผลต่อสมองในด้านความคิดกับอารมณ์

แม้ไม่อยากเศร้าแต่ก็เลือกไม่ได้เพราะอารมณ์ก็รังแต่จะหดหู่ตามสารสื่อประสาทที่แปรปรวน เกิดความคิดแง่ลบผุดพรายขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องการ

สีสันของชีวิตที่เคยเห็นหลากหลายก็จะเหลือแค่เทา-ดำ

โชคดีสำหรับสองตัวละครที่มีเทวดาและ Magic มาบันดาลโลกใบใหม่ มาบันดาลโอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต

แต่ในโลกที่ไม่มี Magic , สิ่งที่จะช่วยมาโคโตะได้โดยไม่ต้องรอให้เขาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพยายามเปลี่ยนแปลง

แม่ที่คิดถึงใจคนในครอบครัวมากขึ้น

พ่อที่พยายามหาเวลาพูดคุยกับมาโคโตะมากขึ้น

พี่ชายที่ใส่ใจความรู้สึกของน้องชายมากขึ้น

แต่นั่นคงไม่พอ

เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถหวังพึ่งจาก ‘คนอื่น’

การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นจนสัมฤทธิผล ต้องเริ่มต้นจากตัวเอง

โลกของมาโคโตะน่าอยู่ขึ้นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

  • เริ่มต้นง่ายๆแบบไม่ต้องลึกซึ้งเช่น ตัดผมทรงใหม่ ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ใส่ความสนุกให้ชีวิตบ้าง
  • เริ่มต้นที่จะเข้าใจชีวิตเหมือนที่เทวดาสอนเช่นตอนที่เทวดาบอกว่า “นายอายุ 14 มันเร็วเกินไปที่จะช่วยใครได้ ส่วนการบังคับคนที่อยากไปทางโน้นให้มาทางนี้ ขนาดบอสชั้น(เทวดา)ยังทำไม่ได้เลย”
  • เริ่มต้นยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาส่วนตัวและไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่พ่อแม่ของเราเอง
  • เริ่มเข้าหาคนอื่นบ้าง เปิดใจพูดคุยบ้าง เปิดรับเพื่อนใหม่บ้าง เริ่มมองคนหรือมองโลกที่ไม่เคยมองบ้าง
  • และแน่นอนว่าตามที่เขาบรรยายเรื่องซึมเศร้าสะสม ซึ่งหากโลกจริงไม่มี magic ที่จะมาลบความทรงจำให้อาการเหล่านั้นหายแบบที่เทวดาทำ เขาก็ควรเข้ารับการบำบัดรักษาให้ดีขึ้น

เช่นเดียวกับโลกของพระเอกใน It’s a Wonderful Life จะน่าอยู่ขึ้นก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า เราไม่ใช่เฮอคิวลิสแต่คือคนธรรมดาๆที่ไม่สามารถแบกทุกๆปัญหาแล้วแก้มันได้ด้วยตัวเองการปรับทุกข์ ระบายหรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไว้ใจ ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย

ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวในชีวิตเรื่องเดียวไม่ได้ทำลายทุกสิ่งดีๆที่เขาเคยทำมา

และสุดท้ายต้องพยายามไม่จมไปกับปัญหาเรื่องเดียว จนปัญหานั้นเป็นสมอถ่วงชีวิตให้ติดอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน

i_behind_you·

FollowPublished in“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”·2 min read·Oct 26, 2018

76

Colorful หมายถึงสีสัน

ถ้าให้บรรยายสีสันของชีวิต , สีที่มาโคโตะบรรยายคงมีแต่สีหม่นเทา-ดำ

ชีวิตมัธยมต้นที่เขาจับได้ว่าแม่มีชู้ , พ่อเห็นแก่ตัว , พี่ชายชอบกระแนะกระแหนปมด้อย และเด็กสาวรุ่นน้องม.2ที่เขาแอบชอบดอดเข้าโรงแรมม่านรูดกับชายสูงวัย

นิยายแบไต๋มาหมดทุกอย่างว่ามาโคโตะเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ถาโถมมาขยี้จนเขาแหลกสลายในวันเดียว

แล้ว ‘น่าจะ’ทำให้เขาฆ่าตัวตาย

‘วิญญาณ’ ดวงหนึ่งถูกลบความทรงจำ

ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครเป็นอะไรตาย แต่เขาได้รางวัลจากเทวดาให้เข้าไปสิงร่างมาโคโตะหลังจากมาโคโตะตายไม่กี่นาที

โจทย์ของ ‘วิญญาณ’ คือต้องใช้ชีวิตในร่างมาโคโตะต่อไป โดยเทวดาที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์บอกว่ามันเสมือนการฝึกอบรม และถ้าดำเนินชีวิตผ่านไปราบรื่น เขาก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วขึ้นสวรรค์หรือเกิดใหม่

วิญญาณกลับไปใช้ชีวิตในฐานะมาโคโตะแล้วเผชิญกับโลกที่เขาเรียกว่า

“สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย โดดเดี่ยวและน่าสมเพช”

เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยความลับในนิยาย Colorful โดย Mori Eto

(นิยายได้รับการแปลเป็นไทยสองครั้ง ครั้งแรกในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ครั้งล่าสุดใช้ชื่อตรงตัวว่า Colorful , เคยถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นและล่าสุดเป็นแรงบันดาลใจในการทำเป็นหนัง Homestay)

เมื่ออ่านมาถึงตอนเฉลยความลับใน Colorful ว่าวิญญาณก็คือมาโคโตะที่ถูกเทวดาลบความจำ

ผมคิดถึง It’s a Wonderful Life ทันที

ตัวละครนำทั้งสองเรื่องตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทั้งคู่มองเห็นแต่สีดำในชีวิตหลากสี มองเห็นแต่ความทุกข์จนมองไม่เห็นความสุข มองเห็นเรื่องร้ายจนมองไม่เห็นเรื่องดี

หลังฆ่าตัวตาย เทวดามอบโอกาสให้ได้ลองแก้ตัวด้วยการใช้ชีวิตใหม่ด้วยการมองโลกด้วยเลนที่ต่างไปจากเดิม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่หากเขาไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมา
  • มาโคโตะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกแบบเดิมแต่กลับไปในสภาพที่ถูกลบความจำ ปราศจากอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากการสะสมสิ่งขุ่นเคืองใจ

Colorful กับ It’s a Wonderful Life จึงเป็นเรื่องของ Second chance หรือโอกาสในการแก้ตัว

โอกาสครั้งนี้ทำให้ได้เห็นโลกส่วนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปที่ไม่เคยเห็นยามทุกข์รุมเร้า

มองเห็นสีสันของชีวิตที่มากไปกว่าเฉดเทาดำในยามเศร้าซึม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้เห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามีคุณค่าเคยช่วยผู้คนมากมายเพียงใด มีคนที่รักเขามากมายแค่ไหน
  • มาโคโตะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอะไรไปหลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ใช่มีแต่เขาที่แบกความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว

และที่เหนือกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ่อซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่เคยรู้ คือการเข้าใจผิดว่าชีวิต‘ถูกเอาเปรียบ’

แต่จริงๆแล้วไม่มีใครเอาเปรียบเขาเลย เขาแค่รายล้อมกับผู้คนที่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งทำให้เขาผิดหวัง

แม่มีชู้เป็นปัญหาของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กขี้เบื่อที่ไม่ยอมโต แต่แม่ก็รักเขา

พ่อมีปัญหาในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขายของหลอกลวงลูกค้า แต่พ่อก็รักเขา

ฮิโรกะมีปัญหาในการจัดการกับชีวิต แต่เธอก็ตรงไปตรงมาและไม่เคยคิดเอาเปรียบมาโคโตะเลย

แต่มาโคโตะเองตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าสะสม เหมารวมปัญหาของคนรอบกายมาไว้กับตัว ทับถมกับปัญหาสุขภาพจิตที่มีมาหลายปี

ไล่ย้อนไปนับตั้งแต่การถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆสมัยประถม

จากที่มาโคโตะเคยเป็นคนสำคัญที่เพื่อนมาขอให้วาดรูป จู่ๆกลับไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สูญเสียความมั่นใจ

ต่อด้วยถูกรังแกล้อเลียน (bully) ในชั้นเรียนจากเพื่อนนิสัยไม่ดีแล้วลามไปเป็นกลุ่มใหญ่

ครอบครัวคือที่พึ่งพา ศิลปะคือที่เยียวยา

แต่เขาก็ยังเก็บตัวมากขึ้น วาดรูปสีหม่นขึ้น ซึมเศร้าลงเรื่อยๆ คำว่า ‘ตาย’ผุดพรายมาในหัว

จนมาถึงวันที่เหตุการณ์น่าผิดหวังของคนรอบตัวถาโถมใส่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

จึงไม่แฟร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายของมาโคโตะมาจากครอบครัวหรือคนที่เขารัก

มันคือปัญหาของหลายสิ่งที่ประกอบรวมกันในวันที่คนๆหนึ่งมองเห็นโลกไม่เหมือนเดิม

แล้วถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ หากอยากมองเห็นสีสันที่มากขึ้น

Colorful กับ It’s a Wonderful Life ก็บอกผ่านตัวเอกมาว่า ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘การรับรู้’ ว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถช่วยเหลือได้แค่บอกว่า สู้ๆนะ มองโลกในแง่ดีเถอะ ฯลฯ

สำหรับคนที่ตกในภาวะ ‘โลกนี้ไม่น่าอยู่’ แบบตัวเอกสองเรื่องนี้ มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีสันหรือสิ่งดีๆ

(1) ความเครียดรุนแรง(Stress)ที่หนักหนาสาหัสจนรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้

(2) สาเหตุจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ

เพราะความเครียดรุนแรงคล้ายการติดอยู่ในอุโมงค์ที่ค่อยๆตีบตัน ตื่นขึ้นมาสมองก็คิดถึงแต่ ‘ปัญหา’ จนแทบไม่เหลือพื้นที่คิดถึงเรื่องดีๆที่เข้ามา

ความรู้สึกไร้หนทาง (helplessness) กับความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness) จะเริ่มสร้างผนังถ้ำกั้นสายตาไม่ให้เห็นอื่นใดนอกจากปัญหา

ในขณะที่โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีผลต่อสมองในด้านความคิดกับอารมณ์

แม้ไม่อยากเศร้าแต่ก็เลือกไม่ได้เพราะอารมณ์ก็รังแต่จะหดหู่ตามสารสื่อประสาทที่แปรปรวน เกิดความคิดแง่ลบผุดพรายขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องการ

สีสันของชีวิตที่เคยเห็นหลากหลายก็จะเหลือแค่เทา-ดำ

โชคดีสำหรับสองตัวละครที่มีเทวดาและ Magic มาบันดาลโลกใบใหม่ มาบันดาลโอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต

แต่ในโลกที่ไม่มี Magic , สิ่งที่จะช่วยมาโคโตะได้โดยไม่ต้องรอให้เขาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพยายามเปลี่ยนแปลง

แม่ที่คิดถึงใจคนในครอบครัวมากขึ้น

พ่อที่พยายามหาเวลาพูดคุยกับมาโคโตะมากขึ้น

พี่ชายที่ใส่ใจความรู้สึกของน้องชายมากขึ้น

แต่นั่นคงไม่พอ

เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถหวังพึ่งจาก ‘คนอื่น’

การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นจนสัมฤทธิผล ต้องเริ่มต้นจากตัวเอง

โลกของมาโคโตะน่าอยู่ขึ้นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

  • เริ่มต้นง่ายๆแบบไม่ต้องลึกซึ้งเช่น ตัดผมทรงใหม่ ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ใส่ความสนุกให้ชีวิตบ้าง
  • เริ่มต้นที่จะเข้าใจชีวิตเหมือนที่เทวดาสอนเช่นตอนที่เทวดาบอกว่า “นายอายุ 14 มันเร็วเกินไปที่จะช่วยใครได้ ส่วนการบังคับคนที่อยากไปทางโน้นให้มาทางนี้ ขนาดบอสชั้น(เทวดา)ยังทำไม่ได้เลย”
  • เริ่มต้นยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาส่วนตัวและไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่พ่อแม่ของเราเอง
  • เริ่มเข้าหาคนอื่นบ้าง เปิดใจพูดคุยบ้าง เปิดรับเพื่อนใหม่บ้าง เริ่มมองคนหรือมองโลกที่ไม่เคยมองบ้าง
  • และแน่นอนว่าตามที่เขาบรรยายเรื่องซึมเศร้าสะสม ซึ่งหากโลกจริงไม่มี magic ที่จะมาลบความทรงจำให้อาการเหล่านั้นหายแบบที่เทวดาทำ เขาก็ควรเข้ารับการบำบัดรักษาให้ดีขึ้น

เช่นเดียวกับโลกของพระเอกใน It’s a Wonderful Life จะน่าอยู่ขึ้นก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า เราไม่ใช่เฮอคิวลิสแต่คือคนธรรมดาๆที่ไม่สามารถแบกทุกๆปัญหาแล้วแก้มันได้ด้วยตัวเอง

การปรับทุกข์ ระบายหรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไว้ใจ ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย

ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวในชีวิตเรื่องเดียวไม่ได้ทำลายทุกสิ่งดีๆที่เขาเคยทำมา

และสุดท้ายต้องพยายามไม่จมไปกับปัญหาเรื่องเดียว จนปัญหานั้นเป็นสมอถ่วงชีวิตให้ติดอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน

เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม

เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม

วรรณกรรมอารมณ์สดใส เพื่อการมองโลกอย่างรื่นรมย์นิยายรางวัลซังเคยอดนิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่น
Colorful หรือ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม เล่มนี้ เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ โมริ เอโตะเนื่องจากไม่เพียงได้รับรางวัล ยังทำสถิติเป็นหนังสือขายดีอันดับสองของญี่ปุ่นในปี 1998เพราะความอบอุ่นและอารมณ์ขันของเรื่องได้ชนะใจผู้อ่านหลากหลายวัย โดยเฉพาะวัยเรียนกับวัยรุ่น อีกทั้งเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งไม่แน่แปลกใจเลยหากทราบว่า…โมริ เอโตะ นั้นเป็นนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนชื่อดัง และเป็นเจ้าของรางวัลวรรณกรรมเยาวชนมากมายอาทิ รางวัลนักเขียนหน้าใหม่สำนักพิมพ์โคดันนะ รางวัลโนมะ รางวัลซังเค และรางวัลโรโบโนะอิชิ
เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม (Colorful)หนังสือมือสอง : เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผมผู้เขียน : โมริ เอโตะผู้แปล : วิยะดา คาวางุจิจำนวน : ๑๘๔ หน้าขนาด : ๑๖ หน้ายกพิเศษสำนักพิมพ์ : JBOOKพิมพ์ครั้งที่ : ๗เดือนปีที่พิมพ์ : กันยายน ๒๕๔๘

ดวงวิญญาณของผมกำลังล่องลอยอยู่บนฟ้า จู่ๆ เทวดาก็ประกาศว่าผมได้รับรางวัลจากสวรรค์ ให้เป็นผู้โชคดีจากแคมเปญโปรโมชั่นพิเศษสามารถกลับไปมีชีวิตบนโลกได้อีกครั้งแต่…ต้องอยู่ในร่างที่สวรรค์เลือกให้ คือ โคบายาชิ มาโคโตะโดยมีครอบครัวของมาโคโตะเป็น ‘ โฮมสเตย์’ และมีทูตสวรรค์แสนกลอย่างปูระปูระคอยเป็นพี่เลี้ยง
ว่าแต่ ‘ผม’ จะสามารถกลับมาดำเนินชีวิตในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขและพึงพอใจหรือไม่หนอในเมื่อครอบครัวโฮมสเตย์ของผมนั้นช่างเต็มไปด้วยปัญหาสารพันสารเพทั้งพ่อที่เห็นแก่ตัว แม่ตกงาน พี่ชายเย็นชา หนำซ้ำสาวที่ผมชื่นชอบก็มีพฤติกรรมน่าละอายแถมบรรดาเพื่อนๆ ก็ไม่คบผมอีกต่างหาก
มิน่าล่ะ…โคบายาชิ มาโคโตะ ถึงต้องฆ่าตัวตาย อำลาร่างกายซึ่ง ‘ผม’ มาอยู่แทนที่นี้…
เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม นิยายแนว Heart Warming Comedy
เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม จัดอยู่ในวรรณกรรมประเภท Heart Warming Comedy
หรือเรียกภาษาไทยได้ว่า “วรรณกรรมอารมณ์สดใส”
แม้ว่ามองเผินๆ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม เป็นนิยายเคร่งเครียดชวนเศร้าหมอง
ทั้งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายดูเหมือนจะเป็นเรื่องโศกนาฎกรรม
แต่ด้วยฝีมือของ โมริ เอโตะ นักเขียนวรรณกรรมเยาวชนมือรางวัล
ตลอดจนการผูกเรื่องของหนังสือเล่มนี้ทำได้ดีมาก

ชีวิตของ มาโคโตะ จึงพลิกผันจากอมทุกข์อันดำมืดมาพบเจอความสุข สนุกสนานหลากสีสันได้ซึ่ง โมริ เอโตะ ได้แสดงให้ผู้อ่านเห็นชัดเจนว่า บรรดาความอบอุ่นในครอบครัวและกำลังใจในการดำเนินชีวิตเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งไกลเกินเอื้อมเลยขอเพียงเรามองคนรอบข้างในแง่ดีขึ้น มองให้รอบด้านขึ้นที่สำคัญคือ สื่อสารกันมากขึ้น บนพื้นฐานของความรักและความปรารถนาดีต่อกัน
ซึ่งนับวันจะหดหายไปในสังคมที่เร่งรีบ การที่เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวได้บนโลกใบนี้
เราต้องมีเพื่อน และการคิดฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหา

กลวิธีการแต่งเรื่องของ โมริ  เอโตะ น่าสนใจ เนื่องจากมีการสร้างตัวละครที่หลากหลายลักษณะทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนอารมณ์ของผู้อ่านอยู่ตลอดเวลา
มีทั้งเศร้า ขบขัน ลุ้นระทึก สร้างความฉงน และชวนติดตาม
ซึ่งการปรับเปลี่ยนอารมณ์ของเรื่องเช่นนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านทำความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ
ทั้งของผมและของมาโคโตะ ร่วมค้นหาและเป็นกังวลไปพร้อมๆ กับตัวละคร

หนังสือเล่มนี้มิได้เหมาะสำหรับเยาวชนแต่เพียงอย่างเดียว 
แต่ยังเหมาะสำหรับนักอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย 

เนื่องจากเนื้อหาในเรื่องอาจช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมอง พฤติกรรมของวัยรุ่นเพิ่มขึ้น
อีกทั้งส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างวัยรุ่นกับผู้ใหญ่คือ ความไม่เข้าใจต่อกัน
ด้วยเหตุนี้หากเป็นไปได้ที่คนสองวัยเปิดใจทำความเข้าใจและเรียนรู้กันให้มาก
รวมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันอย่างไม่ปิดกั้นตัวเองจนเกินไป
ก็จะช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนสองวัยได้
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจที่ซ้ำรอยอย่างเช่นในกรณีของมาโคโตะ…


เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน VI Chonburi Meeting#10 ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ

VI Chonburi Meeting#10 Agenda

Meeting Date : Sunday 29 May 2016
11:15-12:00 สัมมนา#1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
13:00-14:15 สัมมนา #2 การวางแผนและชีวิตนักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
14:15-15:15 สัมมนา #3 ภาพการลงทุน ในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว P’ทิวา(Sai)
15:30-16:15 Q&A และ Share ประสบการณ์ส่วนตัว P’เชาว์ (Investment Biker)
16:15-17:00 สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น P’Champ (Champ_ST)

สัมมนา 1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
1.ธุรกิจโรงพยาบาล
ลงทุนครั้งแรกเยอะ ถ้าหาลูกค้าได้ก็จะไปตลอด
ข้อดี 1.)Growth ต่อเนื่อง 2.)ค่ารักษาพยาบาลยังไม่แพงเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ 3.)Local Monopoly 4.)Switching cost สูง 5.)Aging Society สังคมผู้สูงอายุ
ความเสี่ยง ขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ, การฟ้องร้อง, การควบคุมจากรัฐ
การควบรวมกิจการ – ทำให้เพิ่มอํานาจการต่อรองกับ suppliers – เกิด EOS: Economy of Scale ใช้ทรัพยากรในการบริหารงาน ร่วมกัน – การส่งต่อคนไข้เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น

2.ธุรกิจโรงแรม
ข้อดี – เติบโตต่อเนื่องตามการท่องเที่ยว และการเดินทางของประชากรในโลก – ธุรกิจมีลักษณะเป็น Location Based, Brand Recognition – อาศัยประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ และใบอนุญาต – ราคาห้องพักของโรงแรมไทย และค่าครองชีพยังถูก – ภูมิศาสตร์เป็น hub ในการคมนาคมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน – ไมตรี และนิสัยการบริการของคนไทยดีเยี่ยม – สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในประเทศไทย
ความเสี่ยง สถานการณ์การเมือง, การก่อการร้าย, ภาวะเศรษฐกิจโลก

คำศัพท์ที่น่าสนใจ
OCC (Occupancy Rate): อัตราการเข้าพัก เช่น 80%
ARR (Average Room Rate): อัตราค่าห้องพักเฉลี’ยต่อคืน
REVPAR (Revenue per Available Room): อัตราค่าห้องพัก เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีทั้งหมดในโรงแรม

REVPAR ย่อมาจาก Revenue per available room เกิดจากการนําเอารายได้จากห้องพัก หลังหักส่วนลดอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว มาหารด้วย จํานวนห้องทั้งหมดที่พร้อมขายให้ลูกค้าในช่วงเวลา นั้น สมมติโรงแรมมีห้องพร้อมขายได้ทั้งหมด 500 ห้องต่อวัน (บางทีอาจมี 550 ห้อง แต่ปิดปรับปรุงอยู่ 50 ห้อง ทําให้ห้องพร้อมขายมีเพียง 500 ห้อง) คิดเป็นรายไตรมาส เช่นไตรมาส 2 ก็มีจํานวนวันทั้งหมด 91 วัน จํานวนห้องพร้อมขายในไตรมาส 2 ก็จะเป็น 500*91 =45500 ห้อง กําหนดให้รายได้จากการขายห้องพักตลอดไตรมาส 2 เป็น 90 ล้านบาท เมื่อหารออกมาจะได้เป็นค่า REVPAR ประมาณ 2000 บาท
หากเรามีการปรับสูตรไปเรื่อยๆ เราจะได้สูตรการคํานวณ REVPAR แบบง่ายขึ้นก็คือ REVPAR เท่ากับ อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน × อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วงเวลานั้น จากสูตรหลัง เราจะเห็นว่า REVPAR คือค่าที่รวมเอาผลกระทบของ “ราคาห้องพัก” และ “อัตราการเข้า พัก” เข้าไว้หมดแล้ว ดังนั้น การอ่านบทวิเคราะห์หุ้นโรงแรม เราจึงให้ความสําคัญกับค่า REVPAR นี้เพียงอย่างเดียว เพราะ มันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมเอาไว้ในนี้แล้ว การที’ REVPAR ปรับตัวสูงขึ้น จึงหมายความว่ารายได้ของโรงแรมก็ควรจะสูงขึ้นตามไปด้วย REVPAR จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าโรงแรมจะใช้กลยุทธเช่นไร ในบางช่วง อัตราการเข้าพักอาจจะ ต่ำ ซึ่งอาจทําให้ค่า REVPAR ลดลง แต่โรงแรมอาจขายห้องในราคาเฉลี่ยสูงขึ้น (นักท่องเที่ยวหลักอาจ เป็นยุโรปที่เลือกห้องที่มีราคาแพง) ท้ายที่สุด REVPAR อาจปรับตัวขึ้นแทนที่จะลงก็เป็นได้ โดยส่วนใหญ่การลดค่าห้องเพื่อหวังกระตุ้นอัตราการเข้าพักนั้น โรงแรมมักไม่เลือกใช้ เช่นในไตรมาส 2 ปีที่ แล้ว แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง อัตราการเข้าพักต่ำลง โรงแรมระดับหรูกลับไม่ยอมลด ราคาลงมา เพราะถึงลดก็ไม่แน่ว่าจะทําให้อัตราเข้าพักสูงขึ้นได้ ท้ายสุดอาจไปทําให้ REVPAR แย่ลง หนักกว่าเดิมก็เป็นได้
ที่มา: facebook Wattana Stockpage

สัมมนา 2 การวางแผนและชีวิต นักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
1.เพื่อ cover รายจ่ายในการใช้ชีวิตสำหรับนักลงทุนเต็มเวลา จำเป็นที่เราจะต้องหา Passive Income
นอกจากนั้นเราควรที่จะเขียน,วางแผน ข้อมูลเกี่ยวกับ รายได้รายจ่าย โดยแบ่งข้อมูลเป็นรายได้ประจำ,ไม่ประจำ ค่าใช้จ่ายประจำ,ไม่ประจำ
โดยพื้นฐานเราควรที่จะมีเงินสำรองไว้สำหรับ cover ค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน

2.ในสมัยที่ยังทำงานบริษัทอยู่นั้น ทัศนคติในการทำงานนั้น เราควรจะทำงานให้เต็มที่โดยต้องพยายามทำงานให้เกินเงินเดือน (อย่าทำงานแค่ให้ผ่านไปวันๆ) ซึ่งจะส่งผลทำให้เราเต็มที่กับเรื่องอื่นๆอย่างเช่นการลงทุน แล้วทำให้ผลของการลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย คุณจะมีเงินหรือประสบความสำเร็จมากขนาดไหน อยู่ที่ว่าความสามารถของคุณถึงรึเปล่า

3.เรื่องการบริหารเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญมากของคนเรา เราควรจึงหาวิธีการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฟัง CD ความรู้ระหว่างขับรถ, อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจในช่วงที่รอทานข้าวเป็นต้น

4.ความรู้ในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงควรตั้งเป้าในการอ่านหนังสือ, ศึกษาข้อมูลหุ้น ไว้ โดยแหล่งข้อมูลเบื้องต้นเช่นอ่านหนังสือพิมพ์ทางธุรกิจ,Annual Report , ศึกษาห้องร้อยคน ร้อยหุ้น ใน web thaivi เป็นต้น

5.รักใคร เทิดทูนใคร ต้องยึดหลักกาลามสูตร
(ผมขออนุญาติขยายความเพิ่มเติมจาก web http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm)
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

  1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
  2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
  3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
  4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
  5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
  6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
  7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
  8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
  9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
  10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

ตัวอย่าง

  1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท “เขาว่า” “ได้ยินมาว่า” ทั้งหลาย
  2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท “ใครๆว่า” “โบราณว่า” ตามกระแส
  3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
  4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
  5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
  6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
  7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
  8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
  9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
  10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้

สัมมนา 3 ภาพการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (P’ทิวา Sai)
1.ภาพปัจจุบันนั้น หลังจากเกิดปัญหา Subprime ที่ America นั้นหลังจากนั้นแต่ละประเทศนำโดย America ก็อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ผ่าน QE1,2,3 ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้ Europe และ Japan ก็หันมาใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งส่งผลทำให้ดอกเบี้ยในบางประเทศเช่น Germany และ Japan ในปัจจุบันเองก็ถึงขั้นติดลบ

2.Demand ของโลกเริ่มค่อยๆลดลง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มโตช้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่หลายๆประเทศในโลกเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society ซึ่งจะทำให้ต่อไปการที่จะหาหุ้น Growth นั้นจะเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแรงขับด้าน Demand ที่ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆ

3.Trend ใหญ่ของโลกในอนาคต คือแต่ละประเทศจะเริ่มไม่ใช้เงินสดหรือเงินกระดาษ รวมไปถึงดอกเบี้ยจะเริ่มติดลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศ Sweden เองก็เริ่มเป็นเช่นนั้นแล้ว โดยนอกจากจะเริ่มไม่ใช้เงินสดและดอกเบี้ยติดลบแล้วยังใช้วิธีการแจกเงิน เช่นคนละ 30000 บาทเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งใช้วิธีลดเงินงบประมาณจากส่วนอื่นๆเช่นลดเงินที่จ่ายให้ข้าราชการ

4.E-Commerce เองอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การเติบโต GDP ของโลกลดลง เพราะทุกคนจะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำลง

5.เวลาลงทุนไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น อาจจะทำให้เราประมาท ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้

6.เพราะอะไรนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนใหญ่ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ส่วนใหญ่นั้นไม่อยากทำตามนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ตั้งใจทำตามนั้นจึงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งวิธีการที่จะลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นก็มีขั้นตอนดังนี้ คือ 1.)หา Idea ในการลงทุน 2.)ทำการบ้านเพิ่มเติม เพื่อดูว่า Idea อย่างนี้ work ไหม 3.)หาวิธีลด error ในการตัดสินใจ
แต่วิธีที่คนหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จใช้ก็คือ 1.)ฟังคนอื่น 2.)ฟังคนที่ 2 แล้วดูว่าข้อมูลตรงกับคนที่ 1 ไหม 3.)ถ้าราคาหุ้นเริ่มขึ้น จะเริ่มซื้อหุ้น หลังจากนั้นถ้าราคาหุ้นเริ่มลง ถึงจะเริ่มอ่านบทวิเคราะห์และหรืออ่าน 56-1
(ซื้อด้วยความโลภ ขายด้วยความกลัว หรือซื้อเมื่ออ่อนตัว ขายเมื่ออ่อนใจ)

7.การลงทุนหรือการทำธุรกิจนั้นหลายๆกรณีที่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว ยกตัวอย่างเช่น Alibaba ของ Jack Ma นั้นก็เกิดจากการรวมตัวของคนธรรมดา 18 คน

8.เรียนรู้ไม่หยุด อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และอย่าคิดที่จะท้อแท้
Chalie Munger คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น ขอเพียงแค่ให้ตื่นมาวันพรุ่งนี้ นั้นเราฉลาดขึ้นกว่าวันนี้ (อย่าหยุดที่จะเรียนรู้)

9.คนเราทุกคนมีศักยภาพพอๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือทัศนคติซึ่งจะเป็นตัวตัดสินระดับของความสำเร็จ

10.แนวทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีหลายแนวทาง ซึ่งคุณอาจจะเลือกแนวทางไหนก็ได้เพียงแต่คุณต้องรู้จริง

Q&A Session และshare ประสบการณ์ส่วนตัว by P’เชาว์ (Investment Biker)
1.ลงทุนยังไงให้ปลอดภัยและได้กำไร
พยายามดูว่า 10 ปีข้างหน้าบริษัทหรืออุตสาหกรรมไหนยังมีกำไรโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจากการกรองบริษัทจาก 600 บริษัทอาจจะเหลือสัก 30 บริษัท แล้วไปดูว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่ากิจการเป็นอย่างไร
และพยายามดู Growth ของกำไรเทียบกับ P/E หลักการคล้ายๆ PEG
มั่นใจในหุ้นจริงๆถึงซื้อ ถ้าไม่มั่นใจก็ผ่าน

2.ช่วงแรกๆของการลงทุนของพี่เชาว์นั้น พยายามอ่านหนังสือของ Buffet, Peter Lynch, อาจารย์นิเวศน์ รวมไปถึงการอ่านหนังสือพวก Wall Street Journal แล้วพยายามนำมา apply ใช้กับกิจการในประเทศไทยอีกที

3.การลงทุนในปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน
ช่วงก่อนๆ หุ้นที่มี P/E 7-10 เท่า และมี Growth ของกำไร 15-20% มีมากมายแต่ปัจจุบันนั้นหุ้นส่วนใหญ่มี P/E 10 กว่าเท่าเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่กิจการดีๆหลายบริษัทนั้นอาจจะมี P/E 30-40 เท่า

4.หุ้นนอกสายตา ถ้าคนอื่นมองผิดแต่ถ้าเรามองถูก ก็มีโอกาสได้กำไรเยอะๆ

5.กับดักของนักลงทุนแนว VI
1.)ซื้อหุ้นที่กำไรเติบโต 2-3 ปีแล้วคิดว่ากำไรจะโตต่อเนื่อง ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานกิจการไม่ได้แข็งแรงพอเวลาผ่านไปกำไรของบริษัทก็ลดลงเรื่อยๆ
2.)ซื้อหุ้นที่กำไรโตแค่ระยะสั้น อย่างหุ้นวัฏจักร อย่างบางบริษัทกำไรต่อหุ้นโตมาตลอดหลายๆปี เพราะราคา commodity ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดูเหมือน P/E ต่ำและเงินปันผลสูง ซึ่งถ้าไปซื้อหุ้นแล้วเป็นช่วงวัฏจักรขาลงก็อาจจะขาดทุนได้

6.วิธีลงทุนที่ดีและปลอดภัย คือซื้อหุ้นก่อนที่จะราคาหุ้นจะขึ้น อย่างเราเจอบางบริษัทราคาหุ้นที่ P/E ประมาณ 20 เท่า ในขณะที่ Growth ของบริษัทมองว่าน่าจะมากกว่า 40 % ต่อปีใน 2-3 ปีข้างหน้า ถ้าไปซื้อหุ้นหลังจากนั้นอีกสักระยะที่ราคาหุ้นเทียบกับ P/E 40-50 เท่า ซึ่งในตอนนั้นราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว 100-200% (ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสลงทุนผิดพลาดก็จะสูงขึ้น)

7.วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการศึกษาหาข้อมูลหุ้นต่างประเทศ คือการทดลองเดินทางไปที่ต่างประเทศเช่น AEC, Europe, Japan,Asia เพื่อขยายขอบข่ายความรู้ของเรา
โดย Theme การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจก็เช่น
1.)บริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นยารักษาโรคบางอย่าง , สมองกล โดยคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้มีโอกาสที่จะมองเห็นโอกาสได้ไวกว่าคนอื่นๆ
2.)ประเทศที่ตอนนี้เหมือนประเทศไทยเมื่อสัก 20-30 ปีก่อน ซึ่ง Trend ของอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆอาจจะเหมือนประเทศไทยในอดีตเช่น Modern Trade ได้ โดยเราอาจจะเลือกดูบริษัทที่ใหญ่ 20 บริษัทแรกของประเทศนั้นๆ เพราะสภาพคล่องของหุ้นอาจจะมากพอให้ลงทุนได้
3.)บริษัทที่จะได้รับประโยชน์จาก China Consumer Spending (การจับจ่ายใช้สอยของประชากรเมืองจีน) โดยปัจจุบันคนจีนมีเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทที่มีสินค้าที่คนจีนให้ความสนใจหรือนิยมในสินค้าก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้กิจการมีกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นกิจการขนม, เครื่องสำอาง,ถุงยางอนามัยของบริษัทในญี่ปุ่น
วิธีการหนึ่งในการดูว่าสินค้าไหนเป็นที่นิยมของคนจีนก็คืออาจจะไปตรวจสอบจาก web Taobao ของ Alibaba เป็นต้น

8.Dhando Investment
ลองดูบริษัทที่อาจจะ P/E ไม่สูงนัก เช่น 20 เท่า มีปันผลนิดหน่อย แต่มีศักยภาพที่ยอดขายอาจจะโตเป็น 10-50 เท่าในอนาคตและกำไรของบริษัทก็โต 10-50 เท่าตาม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นซื้อแล้วถือหุ้นไปเรื่อยๆอาจจะได้กำไรเกิน 10 เด้ง แต่ถ้ากำไรไม่โตอย่างที่คาดก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อยเช่น 20-30%
(ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน ถ้าคิดถูกก็เป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต แต่ถ้าผิดทางก็ขาดทุนไม่เยอะ) ซึ่งหุ้นลักษณะนี้อาจจะโผล่มาไม่บ่อยนักเช่น 2 ปีถึงอาจจะเจอสักตัวหนึ่ง)

9.Portfolio Management เลือกถือหุ้นสัก 5 บริษัท โดยที่ monitor หุ้นสัก 30 บริษัท

10.รูปแบบการลงทุนหนึ่งที่ใช้คือ บริษัทที่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าใจง่าย เป็นของที่ผู้บริโภคใช้อยู่เรื่อยๆ, หนี้ของบริษัทไม่ค่อยมี , มี Cash flow ของกิจการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น

  1. คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพา ไปหาผล

1 ปี ที่ลองผิดลองถูก
4 ปี ที่เรียนฟันดาบ
5 ปี ในสนามรบ
และถ้าเราอยู่รอดเราคือ ” ยอดขุนพล ”

2.หุ้นหรือบริษัทที่มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นนั้นอาจจำเป็นต้องมี Story หรือ Catalyst
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งกองทุน XXX , ปันผลพิเศษ , มีพันธมิตรใหม่ , มีคนจะ Take Over กิจการ , ขยายกำลังการผลิต, งบดี เป็นต้น

3.ตัวอย่างระบบการลงทุนหรือวิธีการลงทุนที่เลือกใช้
1.)Canslim (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ How to make money in stocks Canslim คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม)
2.)Phillip A Fisher (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ Common Stocks and Uncommon Profits)
โดยจะ List หัวข้อเพื่อดูคุณภาพของกิจการ เช่น สินค้า/บริการที่มีศักยภาพ, พัฒนาสินค้า/กระบวนการผลิตต่อเนื่อง,ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนา,ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผย แล้วพยายามที่จะให้คะแนนออกมาเป็นตัวเลขในแต่ละหัวข้อเพื่อที่จะเลือกกิจการที่มีคุณภาพสูง

4.ข้อคิดที่ฝากไว้
1.) อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาพูดจาดี น่าเชื่อถือ มีหลักการ หรือตรงกับความคิดเห็นของ เรา แต่ให้รับฟังสิ่งทีเขาพูด เอาไปคิดวิเคราะห์ แยกแยะ และตรวจสอบ เพื่อใช้ใน การพัฒนา และแบ่งแยกคนที่เป็นเพชร ออกจากคนที่เป็นกากเพชร
คนที่เป็นเพชรสิ่งที่เขาพูด แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ให้เราฟัง เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เป็นไปตามที่เขาพูด (ไม่ได้เกี่ยวกับว่าราคาของหุ้น) อยากรู้ก็ไปเปิดอ่านย้อนๆประวัติดูไม่น่าจะยาก
2.)มีเพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยน มุมมอง ได้ฟังแนวคิด มันทําให้เราพัฒนา เพียงแต่เราต้องหาให้เจอว่าเป็นใครที่ลงทุนหุ้นสไตล์เดียวกับเรา สนใจอะไร แบบเดียวกัน หรือถ้าต่างสไตล์กันเราก็จะได้เรียนรู้แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมเปิดรับ
3.)อย่าหลอกตัวเอง ซื้อด้วยเหตุผลใด ก็จงขายด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน
4.)คนเราผิดพลาดได้ คิดผิดขาดทุนได้ แต่อย่าท้อถอย และอย่าทําผิดอะไรที่มันซ้ำซาก ถ้าลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะพิจารณาเปลี่ยนแนวทางลงทุน โดยพยายามปรับอารมณ์ก่อน และที่สำคัญคือหาความรู้ก่อนลงทุน และหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง

ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ

ขอขอบคุณพี่ Chaiyut เจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่ Chaiyut, พี่ Ake Thamrong, พี่ Sai, พี่เชาว์, พี่แชมป์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆมาโดยตลอด
ขอขอบคุณมิตรภาพดีๆสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน VI Chonburi ทุกท่าน

รวมไปถึงขอใช้โอกาสนี้ในการขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นๆ เช่นท่านอาจารย์นิเวศน์,ท่านอาจารย์ไพบูลย์, พี่โจลูกอีสาน, พี่ Web,พี่ Chatchai,พี่ IH,พี่คนขายของ,ลุงขวด,พี่วิบูลย์,พี่มนตรี, N’Hongvalue, พี่ Suwits, พี่หมอ Pongsak, พี่หมอ crazyrisk, พี่สุมาอี้, พี่ chinn, พี่ Notelio, พี่ Linzhi,พี่ Mario,พี่ yoyo, พี่ตี่ picatos, พี่ reiter, พี่ miracle, พี่ takky, พี่ vichit, พี่ worapong, พี่ Paul VI, พี่หมอบำรุง, พี่ ronnapum, พี่ picklife ,พี่ theenuch ,พี่ supparoj, พี่พีรนาถ, พี่ kabu, พี่แชน 1154 รวมไปถึงพี่ๆเพื่อนๆอีกหลายๆท่านที่ผมอาจจะกล่าวนามได้ไม่หมดที่ช่วยแนะนำการลงทุนให้ผมและเพื่อนๆมาโดยตลอด
ที่ผมมีความรู้ในด้านการลงทุนมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะทุกท่านที่เมตตาให้คำแนะนำและช่วยชี้แนะผมมาโดยตลอด ขอขอบคุณทุกๆท่านจากใจจริงครับ และขอให้พี่ๆเพื่อนๆรวมไปถึงครอบครัวของทุกๆท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ

สุดท้ายนี้ ขอรำลึกถึงน้องเจ jayrelax 1 ในสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ VI Chonburi ที่เสียชีวิตในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เจ ยังอยู่ในใจพี่และเพื่อนๆสมาชิก VI Chonburi เสมอมาครับ

earthcu /4 Jun 16

ขอบคุณมากครับ รู้สึกว่าจะสรุปได้ดีกว่าที่ผมพูดเสียอีก

เรื่องกับดัก vi ที่มีน้องคนนึงถาม ตอนตอบผมคงพูดไม่ค่อยครบ ขอสรุปกับดักที่มักทำให้วีไอขาดทุนมากๆ ดังนี้

1 หุ้นที่เติบโตระยะสั้นอาจจะ 2-3 ปี แต่บริษัทไม่ได้มี DCA/Moats ทั้งนี้อาจเกิดจากการได้ประโยชน์จากปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ทำให้รายได้และกำไรดูดีแค่ชั่วคราว คนที่ซื้อตอนหุ้นขึ้นไปมากแล้วเพราะคิดว่าจะโดต่อเนื่อง อาจจะเจ็บหนัก

2 หุ้น cyclical ที่ทำเนียนเป็นหุ้น growth รายได้ กำไร อาจโตติดต่อกันหลายปีจากขาขึ้นของวัฏจักร ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหุ้น growth หากซื้อเข้าไปตรงยอดวัฏจักร อาจขาดทุนเกิน 50% ได้อย่างรวดเร็ว

3 หุ้นที่วาดฝันสวยหรู เปลียนธุรกิจ มีนวัตกรรม มีความสามารถพิเศษ มี backlogs อยู่ใน megatrends ตอนนี้ยังขาดทุน แต่อนาคตจะกำไรมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นแค่แมงโม้ หลอกแดกตังค์นักลงทุน เขียนแผนธุรกิจมันง่าย ทำให้เกิดได้จริงๆ เป็นแค่ส่วนน้อย ธุรกิจแบบ Uber ที่เป็น Unicorn จริงๆ มีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเป็นฝูงลาที่แสร้งทำตัวเป็น Unicorn

4 ธุรกิจที่เราไม่เข้าใจอย่างแท้จริง บางทีกิจการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขรายได้ กำไร ดูดีมาตลอด ราคาไม่แพง PE ต่ำแต่ growth สูง เห็นแล้วต้องตีแตก แต่แล้วราคาหุ้นกลับลดลง สวนทางกับผลประกอบการที่ดีขึ้น เราอาจจะถัวซื้อเพิ่ม แต่แล้วถูกแล้ว กลับมีถูกกว่า นี่คืออัลไล
เฉลยมาตอนหลังครับ หลังจากราคาลงมาจนขายไม่ลง ถึงทราบว่างบการเงินโดนแต่งมาตลอดทาง ตัวเลขทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่กล้า cut loss ก็เหลือศูนย์ เพราะบริษัทพวกนี้จะโดนออกจากตลาด นักลงทุนได้แค่กระดาษไว้ดูต่างหน้า

การลงทุนมีความเสี่ยง ลงทุนแบบง่ายๆ ดีที่สุดครับ เล่นท่ายาก มักจะเจ็บตัว


In search of super stocks

“การตายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เสียใจ การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขก็เช่นกัน”

“เราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเองมากเกินไป อาชีพ ครอบครัว หาเงิน กู้เงิน ซื้อรถใหม่ ซ่อมรถ ซ่อมบ้าน การกระทําเล็กๆ น้อยๆ ของเราหลายล้านสิ่งเพื่อให้ชีวิตดําเนินต่อไป“

”มันมากเกินจนทำให้เราลืมที่จะหยุดนิ่ง มองชีวิตที่ผ่านมาของเรา และพูดว่า ‘นี่คือทั้งหมด? นี่คือชีวิตทั้งหมดของเรางั้นหรือ?‘ อะไรบางอย่างมักขาดหายไปเสมอ”

เกือบ 30 ปีแล้วที่ มอร์รี ชวาตซ์ ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาเกษียณอายุแล้วจากมหาวิทยาลัยแบรนไดส์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่กําลังจะเสียชีวิตจากโรค ALS ได้นั่งลงกับ เท็ด คอปเปล ผู้ประกาศข่าว “Nightline” ของ ABC ในตอนนั้นเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความตาย

“วัฒนธรรมบนโลกเรามองความตายในแง่ของความกลัว ไม่กล้าพูดถึงมัน ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรกับมัน สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือ มีวิธีอื่นในการมองมันหรือไม่”

ชวาตซ์กล่าวในฤดูใบไม้ผลิปี 1995 ไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป

เขาและคอปเปลได้พูดคุยกันสองสามครั้งจนมันได้กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมที่สุดที่เคยออกอากาศ

“สุดท้ายแล้ว โรคร้ายนี้จะไม่มีวันเอาจิตวิญญาณของฉันไป… มันเอาร่างกายไป แต่มันไม่มีวันที่จะได้จิตวิญญาณของฉัน”

หนึ่งในผู้ชมที่เฝ้าดูรายการในเวลานั้นคือ มิทช์ อัลบอม อดีตลูกศิษย์ของชวาตซ์ที่ไม่ได้ติดต่อกับอาจารย์ของตนมาหลายสิบปี

หลังจากรู้ว่าศาสตราจารย์เก่าของเขากำลังจะตาย เขาจึงเริ่มไปเยี่ยมทุกวันอังคารจนกระทั่งชวาตซ์เสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1995

มันได้กลายเป็นคลาสสอนชีวิตครั้งสุดท้ายที่ทรงคุณค่า

หลังจากนั้นอัลบอมได้รวบรวมสิ่งที่ชวาตซ์สอน เขียนเรื่องราว‘คลาสสอนครั้งสุดท้าย’ของพวกเขา และตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า “Tuesdays with Morrie” ที่ประสบความสําเร็จอย่างล้นหลามและขายได้มากกว่า 18 ล้านเล่ม

และเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบตลอดกาล

“เมื่อมีคนกําลังจะตาย เมื่อฉันกําลังจะตาย ไม่จําเป็นที่ต้องมารอรับความตาย ฉันยังให้ได้”

ชวาตซ์ยังสามารถทําสิ่งที่เขารักต่อไปได้ นั่นคือการสอนคนอื่น

และนี่คือหนึ่งในบทเรียนที่เขาได้มอบไว้ให้เรา

“เสียงหัวเราะเป็นสิ่งสําคัญอย่างเหลือเชื่อ คุณต้องมีเสียงหัวเราะในชีวิตของคุณ ค้นหาสิ่งที่ทําให้คุณหัวเราะและดื่มด่ํากับสิ่งนั้น”

“ความตายพรากแค่ชีวิต มันไม่พรากความสัมพันธ์“

“หลายคนเดินไปมาด้วยชีวิตที่ไร้ความหมาย พวกเขาดูเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง พวกเขามักจะบอกว่ายุ่งอยู่กับการทําสิ่งที่คิดว่าสําคัญ แต่พวกเขากําลังไล่ตามสิ่งที่ผิด วิธีที่คุณได้รับความหมายในชีวิตของคุณคือการอุทิศตัวเองเพื่อคนที่คุณรัก อุทิศตัวเองให้กับคนรอบตัวคุณ และอุทิศตัวเองเพื่อสร้างบางสิ่งที่มีความหมายแก่คุณ“

“เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะตาย คุณก็เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต”

“ยอมรับว่าคุณเป็นใคร ไม่ใช่ที่สังคมกำหนดให้คุณ และสนุกไปกับมัน”

“อย่าปล่อยอะไรเร็วเกินไป แต่อย่ารออะไรนานเกินไป”

“อย่ายึดติดกับสิ่งต่างๆ เพราะทุกอย่างไม่ถาวร”

“วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้ทําให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเอง เรากําลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องเข้มแข็งพอที่จะบอกว่าถ้าวัฒนธรรมในสังคมนี้มันไม่ได้ผล อย่าไปทำตามมัน อย่าไปเชื่อทุกสิ่ง จงสร้างของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนใหญ่ทําในสิ่งนี้ไม่ได้”

“มีกฎสองสามข้อเกี่ยวกับความรักและการแต่งงานที่ฉันพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง: ถ้าคุณไม่เคารพกันและกัน คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง ถ้าพวกคุณไม่รู้ว่าจะประนีประนอมกันอย่างไร คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง หากพวกคุณไม่สามารถพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคุณ คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง และถ้าคุณมีความคิดเกี่ยวกับชีวิตไม่เหมือนกัน คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง“

“ฉันมักร้องไห้ให้กับตัวเองถ้าฉันต้องการ แต่แล้วเมื่อหยดน้ำตาหมดลง ฉันจะจดจ่ออยู่กับสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่ยังคงอยู่ในชีวิตของฉัน“

“หากคุณกําลังพยายามอวดคนที่อยู่ด้านบน ลืมมันไปซะ พวกเขาจะดูถูกคุณอยู่ดีไม่ว่าคุณจะทำอย่างไรก็ตาม และถ้าคุณกําลังพยายามอวดคนที่อยู่ด้านล่าง ลืมมันไปได้เลยเช่นกัน พวกเขามีแต่จะอิจฉาคุณ สถานะทางสังคมจะไม่มีทางพาคุณไปไหน มีเพียงหัวใจที่เปิดกว้างเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณลอยไปหาทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน“

“ผู้คนหิวกระหายความรักจนทำในสิ่งที่ผิด พวกเขาโอบกอดสิ่งของ วัตถุมีค่า เงินตรา และคาดหวังความรักกลับมา แต่มันไม่เคยได้ผล คุณไม่สามารถทดแทนสิ่งของเพื่อความรักหรือมิตรภาพได้ เงินและอำนาจไม่สามารถทดแทนความรักได้ ฉันสามารถบอกคุณได้ เพราะขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นี่ กําลังจะตาย ทั้งเงินหรืออํานาจไม่ให้สิ่งที่คุณกําลังมองหา ไม่ว่าคุณจะมีมากแค่ไหนก็ตาม“

“เมื่อคุณเติบโต คุณจะเรียนรู้มากขึ้น ถ้าคุณอยู่อย่างโง่เขลาเหมือนตอนอายุ 22 คุณจะเป็นคนโง่อายุ 22 เสมอ การแก่ชราไม่ใช่แค่การเสื่อมของร่างกาย มันคือการเติบโต แง่ลบคือคุณกําลังจะตาย แง่บวกคือคุณเข้าใจว่าคุณกําลังจะตาย และคุณมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเหตุนี้“

“ไม่มีคําว่า “สายเกินไป” ในชีวิต”

“ฉันคิดถึงผู้คนที่ฉันรู้จักซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันรู้สึกเสียใจกับตัวเอง จะดีแค่ไหนหากเราเสียใจกับตัวเองน้อยลง เพียงไม่กี่นาทีที่เต็มไปด้วยน้ําตา จากนั้นก็ยิ้มให้กับความสุขในแต่ละวันที่เหลือ”

“ให้อภัยตัวเอง สําหรับทุกสิ่งที่เราไม่ได้ทํา ทุกสิ่งที่เราควรทํา คุณไม่สามารถติดอยู่กับความเสียใจกับสิ่งที่ควรเกิดขึ้น”

“การตายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เสียใจ การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขก็เช่นกัน”

“ใช้ชีวิตคุ้ม”

คำว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม” นั้น หมายถึงการใช้ชีวิตที่เต็มอิ่มและมีความสุข โดยไม่เสียดายเวลาและโอกาสที่มีอยู่ แต่ละคนอาจตีความคำว่า “คุ้ม” แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณค่าและเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคน

สำหรับบางคน การใช้ชีวิตคุ้มอาจหมายถึงการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินทองมากมาย หรือมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สำหรับบางคน การใช้ชีวิตคุ้มอาจหมายถึงการได้ใช้ชีวิตตามฝัน ได้ทำในสิ่งที่รัก ช่วยเหลือผู้อื่น หรือมีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรคำนึงถึงคือ การใช้ชีวิตคุ้มนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เสมอไป บางครั้งการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือเป็นการใช้ชีวิตคุ้มค่าเช่นกัน

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการใช้ชีวิตคุ้มค่า

  • ได้ทำในสิ่งที่รักและถนัด
  • ประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งมั่น
  • มีเงินทองเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว
  • มีสุขภาพแข็งแรง
  • มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
  • ช่วยเหลือผู้อื่น
  • ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม
  • มีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน

ท้ายที่สุดแล้ว คำว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม” นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่จะกำหนดความหมายของคำว่า “คุ้ม” ให้เหมาะกับตัวเอง สิ่งสำคัญคือเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุขกับทุกช่วงเวลาที่เรามี

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการใช้ชีวิตคุ้มค่า

  • รู้จักตัวเองและค้นหาสิ่งที่ตัวเองรัก
  • ตั้งเป้าหมายในชีวิตและมุ่งมั่นที่จะทำตาม
  • เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
  • รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
  • ช่วยเหลือผู้อื่น
  • มองโลกในแง่ดีและมีความสุขกับทุกช่วงเวลา

ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความสุขนะครับ

25 ข้อคิดที่ชอบจากหนังสือ ความลับของความสุข( Secrets Of Happiness)

25 ข้อคิดที่ชอบ
จากหนังสือ ความลับของความสุข
( Secrets Of Happiness)

  1. ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน
    เพราะคำพูดของใครบางคน
    แต่คำพูดที่มีพลัง
    ทำให้เราอยากเปลี่ยน “พฤติกรรม”
    จากนั้นเองชีวิตจึงค่อยๆเปลี่ยนแปลง
  2. เมื่อไม่ยึดติดว่า “ ฉันเป็นแบบนี้”
    เราจะพบตัวเองในเวอร์ชั่นอื่น
  3. คนบนโลกนี้ไม่เหมือนกัน
    เราก็มีวิถีเรา เขาก็มีวิถีเขา
    กระนั้น เราเองก็มีสิทธิ์เลือกและ
    เดินไปตามทางที่เราคิดฝันตั้งใจ
    แล้วเรียนรู้จากเส้นทางนั้น
  4. เพราะในชีวิตมีสิ่งล่อใจมากมาย
    เงิน ตำแหน่ง อำนาจ ชื่อเสียง
    บางทีก็ยั่วยวน แต่คำถามคือ
    “ เราอยากได้มันไหม”
  5. เราทำอะไรได้ดีไม่มากนักหรอก
    แต่เราก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากนักเช่นกัน
    บางครั้งเราเพียงหลงคิดว่าเราทำได้เยอะ
    และหลงอยากได้มากกว่า
    ที่ต้องการและจำเป็น ชีวิตจึงสับสน
  6. ความสม่ำเสมอคือ
    พื้นฐานของความสำเร็จในระยะยาว
    ในตอนเริ่มต้นนั้นมีคนออกสตาร์ทพร้อมเราจำนวนมาก
    นักฝันมีมากนักลงมือทำมีน้อย
    แต่น้อยกว่านั้นคือคนที่ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
  7. จิตของผู้เริ่มต้น จิตไม่รู้
    เป็นเรื่องเดียวกับจิตที่ไม่มีอัตตา เมื่อไม่มีอัตตา
    จึงเปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้กับทุกคนและทุกสิ่ง
  8. “ชนกำแพงจึงเห็นกำแพง”
    เมื่อใช้ชีวิตและทำงานไปถึงจุดหนึ่งเรามักชน
    กำแพงบางอย่าง อาจเป็นความรู้สึกตัน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่ค่อยออก ดังนั้น ช่วงที่ชนกำแพงเป็นช่วยเวลาแห่งการขยายขอบให้กว้างกว่าเดิม
  9. การได้รู้เรื่องราวของ “คนยังไม่สำเร็จ” บ้างเป็นการเติมพลังที่ดี เพราะเราก็กำลัง
    อยู่ในระหว่างทางเช่นกัน บ่อยครั้ง
    เรื่องราวเหล่านี้ช่วยฉุดเราออกจากฟองสบู่งงๆ
    ที่คนตั้งชื่อว่า “ความสำเร็จ” ให้กลับมา
    อยู่กับชีวิตจริงที่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ
    ไม่ต้องมีมาก แต่มีบ้างก็น่าดีใจแล้ว
    ไม่ต้องไปให้ถึงยอด เดินไปเรื่อยๆ เดินให้สนุก เหนื่อยบ้างก็ได้ แค่ให้รู้ว่าทางเดินที่เดินอยู่มันโอเค “เราก็แค่ตั้งใจเดินบนทางของเรา”
  10. เริ่มต้นเล็กๆ ต้นทุนต่ำ ลงไปเล่น
    ในสนามที่แพ้ได้ดูก่อน
    สิ่งที่ได้ติดมือมาด้วยคือ “วิชา” จากการล้ม
    นอกจากล้มให้เร็ว ล้มให้ราคาถูกแล้ว
    ทุกครั้งที่ล้ม….ขอให้ล้มไปข้างหน้าเสมอ
  11. ถ้าบอกกับตัวเองตอนอายุ 18
    ได้จะบอกอะไรกับตัวเอง
    • จะบอกว่าอย่าซีเรียสกับชีวิต
      เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทดลอง
    • ชีวิตไม่มีคำตอบสำเร็จรูป
    • ชีวิตคือการเดินดุ่มไปในความไม่สมบูรณ์แบบ
    • สนุกกับการออกนอกเส้นทางที่ตัวเองขีดไว้
    • อย่าเอาไม่บรรทัดของคนอื่นมาวางทาบชีวิตเรา
      และสุดท้าย จงวางใจว่าชีวิตจะพาเราไปสู่จุดที่เราเข้าใจมันมากขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น
  12. เมื่อไม่มีทางที่ผิดหรือถูก เราเพียงเลือกในเวลาที่ต้องเลือก ลุยไปให้ดีที่สุดชีวิตมีพื้นที่กว้างขวาง ไม่ใช่ลู่วิ่งแข่ง เมื่อไม่แข่งกับใคร เราจะสนุก
    และไม่ถูกหลอกด้วยเส้นชัยของการเปรียบเทียบ
  13. ถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้จะแก้ไขอะไร คำถามยอดฮิตที่มันจะหยิบขึ้นมาถามกันเล่นๆและคนส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่แก้ไขอะไร เพราะอดีตทำให้เขากลายเป็นอย่างวันนี้
    นอกจากคำตอบด้านบน อดีตยังมีคุณค่าในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือมันช่วยทำให้อนาคตไม่เป็นเหมือนที่ผ่านมา อดีตทำให้เราผิดน้อยลง ถูกมากขึ้น
    ตัดสินใจได้ดีขึ้น
  14. ถ้าพูดถึง “ค่าตอบแทน”
    จากการทำงาน คนจำนวนมากคงคิดถึง เงิน
    แต่ที่จริงงานแต่ละชิ้นมีค่าตอบแทน
    หน้าตาแตกต่างกัน เช่น ประสบการณ์
    / ความรู้ / ความสัมพันธ์ / คอนเน็กชั่น
    / ความสบายใจ / ความอิ่มเอม
    / ความภูมิใจ / ความสุข
    มี “ค่าตอบแทน” ดีงามที่ไม่ใช่เงินอยู่จริง
    ความคุ้มไม่ใช่สิ่งที่วัดด้วยตัวเลขเสมอไป
  15. ถ้าหาเวลาทำสิ่งใดไม่ได้ ให้สร้างเวลานั้นขึ้นมา ไม่ว่าชีวิตคุณจะยุ่งแค่ไหนถ้าอยากทำสิ่งใดก็ตาม
    จง “สร้างเวลา” สำหรับสิ่งนั้นขึ้นมา แล้วลงมือทำมัน
  16. ทุกเรื่องราวต่อให้ดีแค่ไหนก็ตาม
    สุดท้ายมันต้องสิ้นสุดลง
    ทุกความสำเร็จก็เช่นกัน
  17. ถึงที่สุดแล้ว การถอยออกมามองด้วยมุมมองที่กว้างและไกลขึ้นคือการให้โอกาสตัวเองมองสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่ “สมจริง” เช่นกันกับเลนส์กล้อง
    หากเอาเลนส์มาโครส่องความทุกข์
    มันก็จะขยายใหญ่เหมือนมดตัวจิ๋วที่กลายเป็นยักษ์ แต่ถ้าเปลี่ยนเป้นเลนส์ไวด์มดตัวนั้นจะกลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่ใหญ่โตกว่านั้นอีกมาก
  18. เราคาดหวังสิ่งใดจากการทำงาน แน่นอนเพื่อความอยู่รอด ต้องการรายได้ แต่มากกว่านั้น
    เราต้องการเติบโตผ่านงานที่ทำ มองในแง่นี้
    “การทำงานคือ หนทางสู่การเป็นคนที่
    สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ”
  19. จานที่ล้างง่ายที่สุดคือจานที่เพิ่งกินเสร็จ ห้องที่จัดง่ายที่สุดคือห้องที่จัดทุกวันในชีวิตง่ายเมื่อจัดการแต่เนิ่นๆ ยากและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพอกหางหมู
    แต่บางอย่างกับตรงข้าม ทุเรียนปลูกหลายปีกว่า
    จะออกผล ความลับชีวิตต้องเรียนรู้หลายปี
    บางอย่างก็เร่งไม่ได้ มีเวลาเหมาะสมของมัน
  20. การงานคือความหมายของชีวิต
    การพักคือความสุขของชีวิต
    ในมุมหนึ่งชีวิตต้องการความหมาย
    ในอีกมุมชีวิตต้องการความสุข
  21. บางโอกาสของชีวิตต้องรีบ
    และบ่อยมากที่ต้องรอ
    หยุดสักนิด รอสักหน่อยจะตอบสนองได้ดีกว่า
  22. เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์เรามักคิดว่าต้อง
    “ทำอะไรบ้างจึงสร้างสัมพันธ์ที่ดี”
    แต่ในอีกมุมซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน
    เราต้องรู้ด้วยว่าต้อง “ไม่ทำ” อะไรบ้าง
    จึงเกิดระยะห่างที่สบายใจ
  23. ชีวิตที่น่าปรารถนาอาจเป็นชีวิต
    ที่ทนได้กับสิ่งที่ไม่อยากได้
    เพราะโชคชะตามักโยนสิ่งที่
    ไม่อยากได้มาให้เราเสมอ
  24. เมื่อจะก้าวไปข้างหน้าเรา
    มักเห็นว่า “ได้รับ” อะไรเพิ่มขึ้น
    แต่ไม่ค่อยเห็นว่าต้อง “จ่าย” อะไรไปบ้าง
    ระหว่างทางที่จะขึ้นสูงไปอีก วิวยอดเขา
    ไม่จำเป็นต้องสวยกว่าเนินเขา
  25. เมื่อเดินทางมาถึงวันหนึ่ง
    เราอาจพบว่าเกณฑ์วัดต่างๆ เพียงเกิดขึ้น
    ในสนามหนึ่ง ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อก้าวเท้าออกนอกสนาม ชีวิตกว้างขวางเหลือเกินเปิดโอกาส
    ให้สนุกกับสิ่งที่สนใจ ลดทอนความจริงจัง
    “ซึ่งมันก็ควรถูกเรียกว่าชีวิตเช่นกัน”

Roundfinger

วิธีบอกลาความกังวลของเดล คาร์เนกี

วิธีบอกลาความกังวลของเดล คาร์เนกี
.
เดล คาร์เนกี้ นักจิตวิทยาและนักเขียนชื่อดังมักกล่าวเสมอว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ “ความคิด” เพราะความคิดมักปรุงแต่งไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเราควบคุมความคิดได้ เราก็จะได้รับทุกสิ่งที่เราต้องการ
.
อีกประการหนึ่งคาร์เนกีเชื่อว่า สาเหตุที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุข เพราะผู้คนไม่รู้วิธีควบคุมความคิดตัวเอง และนี้คือ 6 วิธีสร้างสุขของคาร์เนกี ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ “จุดเเข็งของมนุษย์” ไว้ดังนี้คือ
.
1.จงทำตัวให้วุ่นวายจะได้ไม่ต้องมีเวลามากังวลกับความทุกข์
.

  1. อย่าเสียเวลาไปกังวลกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ มากเกินไป จึงทำให้เรามองไม่เห็นความสุขที่ควรมี
    .
  2. ประเมินสถานการณ์ดูว่าความกังวลเป็นผลดีกับเรามากแค่ไหน เพราะความกังวลส่วนมากไม่ได้เกิดจากความจริง แต่ล้วนเกิดจากเราเป็นผู้จินตนาการเอง
    .
  3. ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมันเป็นทางให้เรารอดพ้นจากความกังวล
    .
  4. กำหนดขีดจำกัดของเราว่าควรมีความกังวลเเค่นั้น ด้วยการตั้งคำถามดังนี้ มันเกี่ยวกับฉันไหม, ฉันจะลืมมันได้อย่างไร, เรื่องที่กังวลมีคุณค่ากับฉันมากแค่ไหน
    .
  5. อย่าเสียเวลาไปกังวลกับเรื่องผิดพลาดในอดีต เพราะเราไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันได้อีกแล้ว
    .
    กุญแจที่สำคัญ คือเราควรทำสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก่อน อย่าพึงไปกังวลกับสิ่งที่ยังไม่แน่นอนหรือยังมาไม่ถึง เพราะชีวิตของเรานั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับความกังวลที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรขยันเป็นทุกข์ให้มากเลยดีกว่า

นักคิดคำ #NAKKHIDKHOM #ความกังวล #ความคิด #เดลคาร์เนกี #จุดแข็งของมนุษย์

ฉบับที่ 204 ค้างค่าส่วนกลางห้องชุดเจ้าของห้องต้องระวัง

ครั้งนี้ก็มีเรื่องกฎหมายสำคัญใกล้ตัวผู้บริโภคที่จะเอามาแบ่งปันอีกเช่นเคย  แต่จะขอเน้นไปที่เรื่องของผู้อยู่อาศัยในแนวดิ่งหรือ คอนโดมิเนียม ที่เมื่อเราเข้าอยู่แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมามากมาย หนึ่งในนั้นคือ ค่าส่วนกลาง ที่แน่นอนว่าเจ้าของห้องชุดทุกคนต้องจ่าย  แต่ก็พบว่าในหลายที่ นิติบุคคลอาคารชุดแทนที่จะไปฟ้องร้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อเรียกค่าส่วนกลางจากเจ้าของห้อง กลับไปออกระเบียบข้อบังคับบีบให้ลูกบ้านอื่นๆ เสียสิทธิในการใช้ที่อยู่อาศัยตามปกติ เช่นนี้ ศาลเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินไว้แล้ว ว่าทำไม่ได้ อย่างเช่น การออกระเบียบข้อบังคับที่จะไม่ส่งมอบบัตรผ่านประตูนิรภัยให้แก่เจ้าของห้องชุด ซึ่งค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เช่นนี้ถือว่าไปจำกัดสิทธิในการใช้สอยทรัพย์บุคคลเป็นการทำผิดกฎหมาย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8512/2553

โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุด ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 4 โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 แม้นิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดพิพาทและการออกระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 อันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของร่วมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของอาคารชุดตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ข้อ 7 (1) (5) แต่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 33 วรรคสอง จำเลยที่ 1 มีสิทธิเพียงจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางและมีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ตามมติของเจ้าของร่วมเท่านั้น ไม่มีอำนาจกระทำการใดเป็นการรบกวนสิทธิหรือเสื่อมความสะดวกในการใช้ทรัพย์ส่วนบุคคลของเจ้าของร่วม 

แม้โจทก์ค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางต่อจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเป็นอีกคดีต่างหาก มิใช่ออกระเบียบเพื่อบังคับโจทก์ให้ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่จำเลยที่ 1 กำหนดโดยหลีกเลี่ยงการที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย การออกระเบียบข้อบังคับที่จะไม่ส่งมอบบัตรผ่านประตูนิรภัยให้แก่โจทก์ซึ่งค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางอันทำให้โจทก์เสื่อมเสียสิทธิในการใช้สอยทรัพย์ส่วนบุคคล จึงไม่สามารถบังคับเอาแก่โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 1 ทำประตูนิรภัยปิดกั้นและไม่ยอมมอบบัตรผ่านประตูนิรภัย จึงเป็นการรบกวนสิทธิและทำให้เสื่อมความสะดวกแห่งสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าของร่วมในอันที่จะเข้าไปใช้ทรัพย์ส่วนบุคคล ถือว่าเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์

อีกตัวอย่าง เป็นเรื่องการงดจ่ายน้ำประปา แม้การจ่ายน้ำประปานั้นจะต้องใช้อุปกรณ์บางส่วนที่เป็นทรัพย์ส่วนกลางก็ตาม นิติบุคคลก็ไม่สามารถทำได้ หากทำเป็นการละเมิด นอกจากนี้ ศาลก็มีการกล่าวเตือนถึงเจ้าของห้องชุดเช่นกัน กรณีนิติบุคคลไม่เอาเงินที่จ่ายไปดูแลทรัพย์ส่วนกลาง ไปหาประโยชน์มิชอบอื่น เจ้าของห้องชุดเองก็ไม่มีสิทธิที่จะไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ต้องไปว่ากล่าวดำเนินคดีต่างหาก ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10230/2553

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10230/2553

ค่าใช้จ่ายส่วนกลางนั้น เป็นหนี้ที่เกิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18 ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำสัญญาระหว่างกัน และเป็นหนี้เงิน ซึ่งตาม ป.วิ.พ.ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การบังคับชำระหนี้โดยการใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้พิจารณาพิพากษาบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ และตามพ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ก็ไม่ได้บัญญัติให้จำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้โดยวิธีอื่นหรือโดยพลการ นอกจากนี้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของห้องชุดย่อมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลของตนในอาคารชุด และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางด้วย ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง จึงมีสิทธิใช้สอยทรัพย์ส่วนกลางที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมนั้นด้วย ย่อมไม่ชอบที่จำเลยที่ 1 จะใช้วิธีการขัดขวางการใช้ทรัพย์สินส่วนกลางของโจทก์เพื่อเป็นมาตรการบังคับให้โจทก์ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์โดยพลการ

โจทก์ไม่ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเพราะจำเลยที่ 1 นำเงินไปใช้จ่ายโดยพลการ โจทก์ก็ต้องว่ากล่าวดำเนินคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 เพื่อไม่ให้กระทำเช่นนั้นหรือให้ชำระค่าเสียหาย ไม่เป็นเหตุโดยชอบที่โจทก์จะอ้างขึ้นเพื่อไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในการชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง