มูลค่าที่แท้จริง
Posted on February 5, 2010 by TVI MOD
เวลาเราจะซื้อหุ้นกันสักครั้งนั้น ถ้าหากเราไม่คิดอะไรมากและซื้อหุ้นเพื่อขายในราคาที่สูงขึ้น เราคงไม่ต้องศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลอะไรกันมากมาย ฟังนักวิเคราะห์ หาข่าวลือก็พอจะเลือกซื้อหุ้นได้บ้าง แต่ทั้งนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าจะได้เงินหรือเสียเงิน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดวง
วันนี้ ได้คุยกับน้องคนหนึ่ง ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง เจ้าน้องคนนี้แปลกตรงที่ว่า ตัวเองเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investor แต่ต้องไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดที่ต้องคอยเชียร์ซื้อเชียร์ขายหุ้น
เขา เล่าให้ผมฟังว่า เขาต้องซื้อหุ้นขายหุ้นให้กับลูกค้าทุกวัน ซื้อแล้วได้กำไรก็ดีไป ซื้อแล้วขายขาดทุนก็ต้องหาคำปลอบใจลูกค้าทุกครั้งไป เห็นได้ว่าคนที่ลงทุนแบบเลือกหุ้นดีๆ กันจริงๆ จังๆ นั้นหาแทบไม่เจอ ฟังแล้วผมเองก็รู้สึกท้อใจว่าทำไมพวกเราคนไทยจึงนิยมแต่จะทำอะไรที่ง่ายๆ แต่เสี่ยงสูงๆ
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น เท่าที่เห็นก็มักจะรอบคอบในการเลือกกิจการพอสมควร บางคนสนใจในการตรวจสอบข้อมูลบริษัทมากจนละเอียดลออจนใน http://www.thaivi.com มีห้อง “ร้อยคน ร้อยหุ้น” ซึ่งจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นโดยสมาชิกที่สนใจหุ้นบริษัทนั้นๆ เอาไว้หลายบริษัท และพร้อมๆ กับข้อคิดเห็นของสมาชิกที่จัดทำเองและผู้อื่น นับเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่หนึ่ง
ต่อจากนั้นสิ่งที่พวกเขาสนใจต่อมา ก็คือ การหามูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value ซึ่งเป็นข้อมูลที่เหล่านักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องการทราบมากที่สุด และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเอาการ ทั้งนี้เพราะนักลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นต้องการที่จะ “มีกำไรเมื่อซื้อ” ถ้าเราซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าเมื่อใด เมื่อนั้นเราจะปลอดภัยเพราะมี “ส่วนต่างความปลอดภัย หรือ Margin of Safety” เพราะอย่างไรราคาต้องวิ่งให้ทันมูลค่าแน่นอน จะช้าหรือเร็วนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
สำหรับการคำนวณหามูลค่าที่แท้จริง นั้นเราสามารถคำนวณได้ 3 รูปแบบ แต่ละแบบต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลเชิงลึกทั้งสิ้น และแต่ละรูปแบบก็ต้องเลือกใช้กับกิจการในแบบต่างๆ กันและในระยะเวลาคาดหวังที่จะถือหุ้นนั้นๆ ต่างกัน
การคำนวณมูลค่าที่ แท้จริง ด้วยวิธีการ ‘Reproduction Cost of Assets’
วิธีการนี้ต้อง อาศัยข้อมูลในงบดุล เพื่อหามูลค่าทางบัญชีที่แท้จริงของกิจการ กล่าวคือต้องมีการปรับปรุงรายการในงบดุลเสียใหม่ให้เป็นแบบที่เป็นได้ เช่น ค่าความนิยมนั้นบริษัทตั้งเอาไว้สูงเกินจริงหรือไม่ หรือในกรณีล้มละลายนั้นค่าความนิยมนั้นไม่มีมูลค่าเลย เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ หรือสินค้าคงคลัง เราก็ต้องปรับมูลค่าในกรณีขายออกทันทีว่าจะเหลือมูลค่าเท่าไร หรือบริษัทอาจมีที่ดินที่บันทึกบัญชีเอาไว้ที่มูลค่าเดิมไม่ได้ปรับปรุงใหม่ เราก็ต้องปรับปรุงมูลค่าเพิ่มให้
วิธีการนี้เราจะประเมินมูลค่า โดยไม่สนใจอนาคตของกิจการ ไม่สนใจอดีต ให้ความสำคัญเพียงว่าบริษัทนี้เหลือมูลค่าเท่าไรในตอนนี้ หากมูลค่านั้นสูงกว่าราคามากๆ เราซื้อไว้เมื่อมีการชำระบัญชีใช้หนี้ใช้สินหมดแล้วก็ยังเหลือถึงผู้ถือหุ้น วิธีการนี้เราคุ้นเคยในชื่อ “อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีหรือ PBV) บริษัทเหล่านี้หาได้มากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ เช่นพวกกิจการโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี ฯ
การคำนวณมูลค่าที่แท้จริง ด้วยวิธีการ ‘Earning Power Value’
วิธีการนี้อาศัยข้อมูลในงบกำไรขาดทุนเพื่อหาความสามารถ ในการทำกำไรในอนาคตสั้นๆ ปีสองปี แน่นอนครับเราต้องปรับปรุงรายการในงบกำไรขาดทุนให้สะท้อนภาพการทำกำไรที่แท้ จริงก่อน ต้องตรวจสอบการรับรู้รายได้ ต้นทุนให้ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น หลังจากปรับปรุงตัวเลขต่างๆ เรียบร้อยแล้วเราจะได้กำไรต่อหุ้นที่ควรจะเป็น
จาก นั้นก็กำหนดอัตราต้นทุนเงินทุนของเรา เน้นนะครับว่าของเราโดยเราเองหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนเท่าไร เช่นต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนี้ 10% ก็เอา 10% นี้เป็นตัวหารกำไรนั้น เช่น กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.5 บาทต่อหุ้น ผลตอบแทนที่เราต้องการ 10% เราจะได้ราคาที่เหมาะสมที่ 0.5/0.1 = 5 บาทต่อหุ้น ถ้าราคาหุ้นสูงกว่านี้ เราก็ยังไม่ซื้อ ต้องรอครับ วิธีการนี้จริงๆ แล้วคือการหาราคาต่อกำไรหรือ PE ratio นั่นเองครับ
ใน กรณีนี้คือ PE เท่ากับ 10 เท่านั่นเอง หาก PE สูงกว่านี้ เราว่าแพงไป บริษัทและเวลาที่เหมาะจะใช้วิธีการนี้คือกลุ่มที่กำลังฟื้นตัว และเราเห็นว่าฟื้นแน่ๆ เช่นกลุ่มปิโตรฯ หรือกลุ่มอุตสาหกรรมหนักๆ นั่นแหละครับ
โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนพื้นฐานมักจะใช้ทั้งสองวิธีการ นั่นแหละครับ แต่ทำกันง่ายๆ โดยดูแค่ PBV ประกอบกับ PE ถ้าสองตัวนี้ต่ำๆ แล้วเป็นใช้ได้ จริงๆ แล้วปรับปรุงตัวเลขในงบการเงินสักหน่อยหรืออย่างน้อยตรวจงบการเงินสักหน่อย แล้วค่อยเอาตัวเลขมาใช้ตัดสินใจก็จะดีมาก
การตรวจงบกระแสเงินสดเพื่อ หาเงินสดของกิจการนั้น เราถือเป็นส่วนหนึ่งของ วิธีการ Reproduction Cost of Assets เพราะเงินสดคือสินทรัพย์ นักลงทุนบางท่านชอบหาหุ้นที่มีสินทรัพย์มากๆ แต่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนมูลค่า ผมก็เห็นว่าใช้ได้ผลดี แต่ถ้าหุ้นใหญ่ไม่ยอมปลดปล่อยมูลค่าออกมาก็ต้องรอกันนานหน่อย หรือบางบริษัทเงินสดมากแต่ไม่ยอมจ่ายปันผลออกมา เก็บเอาไว้หรือไปลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ดีนะครับ ควรให้ผู้ถือหุ้นตัดสินใจเองว่าจะเอาไปลงทุนอะไรที่ได้ผลตอบแทนที่มากกว่า
การ คำนวณมูลค่าที่แท้จริงด้วยวิธีการ ‘Discount Cash Flow’
วิธีการนี้ ค่อนข้างซับซ้อน และต้องอาศัยทฤษฎีทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องมาก อีกทั้งองค์ประกอบและสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณนั้นหากต่างกันเล็กน้อยก็ทำ ให้มูลค่าที่คำนวณได้ต่างกันมากมาย วิธีการนี้เหมาะสำหรับหุ้นของกิจการที่มั่นคง รายได้ กำไรเติบโตสม่ำเสมอ เราจะต้องสามารถคาดการณ์อัตราการเติบโตได้อย่างใกล้เคียง
บริษัท ประเภทเศรษฐกิจดี กำไรดี เศรษฐกิจแย่ กำไรหด ใช้วิธีการนี้ไม่ได้ครับ เพราะจะทำให้การคำนวณตัวเลขผิดพลาดได้มาก วิธีการนี้จึงไม่ค่อยนิยมใช้กัน เพราะซับซ้อน และหาบริษัทดีๆ อย่างว่ามาคำนวณแบบนี้ไม่ค่อยได้
วิธี การคำนวณทั้ง 3 แบบนั้น มีข้อดี และข้อจำกัดแตกต่างกัน เราในฐานะนักลงทุนต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับบริษัทและช่วงเวลา และทั้งยังต้องศึกษาหาความรู้ในด้านการวิเคราะห์งบการเงินเอาไว้ให้มากเพื่อ ป้องกัน “กับดักมูลค่า”
คุณๆ คงว่า พวก Value Investor นี่มันคิดกันอย่างนี้มันจะทันกินหรือ? ก็ต้องบอกว่า ไม่กลัวไม่ทันกิน แต่กลัวไม่ได้กิน หรือ ไม่ชอบไปงานเลี้ยงตอนเขาเลิกกันแล้วครับ เพราะนอกจากไม่ได้กินอะไรแล้วยังแถมต้องอยู่ล้างจาน อีกต่างหาก!–จบ–
บทความที่แล้ว คุณมนตรีได้กล่าวถึงการหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทที่เราสนใจลงทุนไปอย่าง คร่าวๆ แล้ว ในคราวนี้เราจะมาดูในรายละเอียดของแต่ละแบบว่ามีวิธีการอย่างไรบ้าง
ในส่วนของวิธีการหามูลค่าทรัพย์สินของกิจการ (Reproduction Cost of Asset) นั้น สามารถหามูลค่าทรัพย์สินของกิจการได้สองวิธีคือ
พิจารณาจากงบดุลในงบการเงินของบริษัท หรือ
คำนวณจากวิธีรวมส่วนของกิจการ (Sum of the Part)
วิธีรวมส่วนของกิจการ (Sum of the Part) นั้นทำได้ไม่ยาก เป็นวิธีที่ไม่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแต่ธุรกิจที่จะนำมาหามูลค่าด้วยวิธีนี้ ควรมีบริษัทย่อยที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วย จะช่วยให้การหามูลค่าทำได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น
วิธีการก็คือ ศึกษาจากรายงายประจำปีว่า บริษัทที่เราสนใจนั้นถือหุ้นบริษัทอะไรอยู่บ้าง จากนั้นทำการคำนวณหามูลค่าของกิจการบริษัทแม่ จากมูลค่ากิจการตามราคาตลาดของบริษัทย่อยแต่ละบริษัทตามสัดส่วนที่ถือหุ้น อยู่ นำผลที่ได้มารวมกันจะได้ราคาตลาดที่เหมาะสมของบริษัทแม่
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SHIN) เป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมปานี ถือหุ้นบริษัทต่างๆ ดังต่อไปนี้
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) – 43 %
บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ (SATTEL) – 51 %
บริษัท ไอทีวี (ITV) – 55 %
บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) – 40%
และ บริษัทอื่นๆ นอกตลาดหลักทรัพย์
หา ราคาปิดและจำนวนของหุ้นของบริษัทย่อยในตลาดหลักทรัพย์ได้ดังนี้
ADVANC – 97.5 บาท จำนวนหุ้น 2,947 ล้านหุ้น
SATTEL – 15.8 บาท จำนวนหุ้น 877 ล้านหุ้น
ITV – 12.4 บาท จำนวนหุ้น 1,204 ล้านหุ้น
CSL – 6.15 บาท จำนวนหุ้น 625 ล้านหุ้น
จากข้อมูลที่ได้สามารถ คำนวณมูลค่าตลาดของบริษัทชินได้ดังนี้
ADVANC – 97.5 X 2,947 X 43% = 123,553 ล้านบาท
SATTEL – 15.8 X 877 X 51% = 7,067 ล้านบาท
ITV – 12.4 X 1,204 X 55% = 8,211 ล้านบาท
CSL – 6.15 X 625 x 40% = 1,538 ล้านบาท
รวมมูลค่าตลาดของบริษัทย่อยเท่ากับ 140,368 ล้านบาท
บริษัทชินมีจำนวนหุ้นทั้งหมดเท่ากับ 2,995 ล้านหุ้น และวอร์แรนท์อีก 200 ล้านหุ้น รวมเป็น 3,195 ล้านหุ้น
ดังนั้นมูลค่าตลาดของบริษัทย่อยของชินที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เท่ากับ 140,368/3,195 = 44 บาทต่อหุ้น
นัก ลงทุนสามารถหาส่วนต่างของความปลอดภัย หรือ Margin of Safety ด้วยการเปรียบเทียบมูลค่ากิจการที่คำนวณออกมาได้กับราคาตลาดของหุ้นนั้นๆ ที่ซื้อขายอยู่บนกระดาน ถ้าราคาบนกระดานต่ำกว่าราคาที่คำนวณได้ ถือว่ามีส่วนต่างความปลอดภัย
เมื่อดู จากราคาปิดของหุ้นบริษัทชิน ณ วันที่ 18 เมษายน 2548 อยู่ที่ราคา 38.25 บาทต่อหุ้น จะเห็นว่า ราคาหุ้นของบริษัทแม่ยังต่ำกว่าราคาตลาดของบริษัทย่อยรวมกันอยู่ 5.75 บาทหรือราวๆ 15 เปอร์เซ็นต์
นอกเหนือจาก นั้นราคาตลาดที่หาได้จากการคำนวณของบริษัทย่อย เป็นเพียงมูลค่าของกิจการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ยังไม่ได้รวมบริษัทย่อยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนอีกหลายบริษัท จะเห็นว่าจากการคำนวณด้วยวิธีรวมส่วนของกิจการ (Sum of the Part) แล้ว บริษัทชินมีมูลค่ากิจการมากกว่าราคาตลาดปัจจุบันอยู่พอสมควร
การคำนวณดังกล่าวเป็นการคำนวณอย่างคร่าวๆ เพื่อแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างเท่านั้น รายละเอียดของแต่ละกิจการจะแตกต่างกันไป ตามแต่ละธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน นักลงทุนควรจะมีความเข้าใจในกิจการของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียดก่อน ตัดสินใจลงทุน
การคำนวณด้วยวิธีรวมส่วนของ กิจการนี้มีข้อดีคือ ความสะดวกรวดเร็วในการหามูลค่า ไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด แต่ข้อเสียก็มีมากเช่นกัน ดังต่อไปนี้
การหามูลค่ากิจการของบริษัทย่อยที่ไม่ได้อยู่ในตลาด หลักทรัพย์ ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะไม่มีราคาตลาดมาใช้ในการอ้างอิง รวมถึงงบการเงินของบริษัทย่อยเหล่านั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการชี้แจงอย่างละเอียดในงบการเงินของบริษัทแม่แต่อย่างใด ทำให้การวิเคราะห์บริษัทย่อยทำได้ไม่ง่ายนัก
มูลค่าตลาดของ บริษัทแม่จะขึ้นกับราคาหุ้นของบริษัทย่อย ถ้าราคาหุ้นบริษัทย่อยมีราคาสูงจะทำให้มูลค่าบริษัทแม่เพิ่มสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในภาวะตลาดกระทิงที่ราคาหุ้นแต่ละบริษัทเพิ่มสูงขึ้นมาก อาจจะทำให้มูลค่าของบริษัทแม่มีราคาสูงเกินจริง
การหามูลค่า ด้วยวิธีนี้ไม่ได้พิจารณาถึงงบการเงินของบริษัทแม่ ทำให้การหามูลค่าบริษัทไม่ได้คำนึงถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น ความสามารถในการชำระหนี้ การหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง หรือ อัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ
นอกเหนือจากนั้น การหามูลค่าด้วยวิธีนี้ยังไม่ได้บ่งบอกถึงธุรกิจของบริษัทว่า จะมีทิศทางเป็นอย่างไร รวมถึงไม่ได้คำนึงถึง เรื่องของความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร หรือ การแข่งขันในธุรกิจนั้นๆ แต่อย่างใด
ในบทความครั้งหน้า คุณมนตรีจะมากล่าวถึงรายละเอียดและตัวอย่างของการหามูลค่ากิจการด้วย วิธีการหามูลค่าทรัพย์สินของกิจการ (Reproduction Cost of Asset) อีกวิธีหนึ่ง คือการหามูลค่าทรัพย์สินของกิจการโดยการพิจารณาปรับเทียบจากงบดุลของบริษัท ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าเชื่อถือมากกว่าวิธีรวมส่วนของกิจการที่กล่าวมา ข้างต้น
← มูลค่าที่แท้จริง (2)PE Ratio →
Reproduction Cost Of Asset
Posted on February 5, 2010 by TVI MOD
สิ่งแรกที่เราต้องทราบให้ได้ก่อนการซื้อหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้น คือ บริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมใด และอุตสาหกรรมนั้นมีอนาคตสดใสหรือไม่ รายได้และกำไรจะมีความมั่นคงแน่นอนต่อเนื่อง หรือใกล้จะหมดอนาคตหรือยัง
แน่นอนว่า หากบริษัทนั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในขาลง แล้วยอดขาย กำไรก็จะต้องลดลง ซึ่งแน่นอนว่า บริษัทนั้นต้องมีมูลค่าลดลงอย่างแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากว่าธุรกิจนั้นถึงคราวต้องลาโลกนี้แน่ๆ แล้วละก็…
มูลค่าที่เหลือจริงๆ ก็คงมีแค่เศษเหล็กและซากของสินค้าคงเหลือเท่านั้น
ค่าความนิยม(Goodwill) ที่สั่งสมมาจึงไม่เหลือมูลค่าใดๆ แน่นอน บริษัทเหล่านี้จึงมีเอาไว้สำหรับซื้อเอามาถูกๆ และตัดแยกขายเท่านั้น
สำหรับบริษัทที่กำลังย่ำแย่แต่ยังพอมีอนาคต สามารถเอากับมาปลุกเสกให้พื้นคืนชีพได้นั้น มันต้องมีมูลค่าแน่ๆ แต่มีเท่าไรนั้น เราต้องประมาณกันหน่อย ซึ่งเรามักจะใช้วิธี ‘Reproduction Cost of Asset’ หรือวิธีการตรวจสอบงบดุล เพื่อค้นหามูลค่าตามบัญชีของกิจการ และทำการปรับมูลค่าให้เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น
วิธีการนี้ให้เน้นไปที่มูลค่าของสินทรัพย์ของกิจการ และต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าทางเศรษฐกิจด้วยนะครับ ซึ่งหมายถึงสินทรัพย์เหล่านั้นยังสามารถสร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้แก่ บริษัทได้ พวกโรงงานร้าง ที่ดินเปล่านั้น ให้ประเมินแบบขายลดราคาถอดตลาดลูกเดียว และค่าความนิยม(Goodwill) นั้นต้องเอามาดูว่าควรให้มีค่าแค่ไหน
มาดูตัวอย่างกันสักตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งผมเอามาจากบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยนี่เอง แต่เป็นงบของปี 2002 บริษัทนี้ประกอบธุรกิจโรงพิมพ์ สำนักพิมพ์นิตยสารชื่อดัง อีกทั้งยังเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังสือ รวมทั้งร้านหนังสืออีกด้วย
สิ่งที่เราจะต้องปรับค่าให้เหมาะสมนั้นจะอยู่ในส่วนของสินทรัพย์ เริ่มต้นที่เงินสด
…เงินสดก็คือเงินสดไม่ต้องปรับอะไรทั้งสิ้น เพราะเราสามารถเอามาใช้ได้เลย แต่ถ้าเป็นรายการเทียบเท่าเงินสดต้องดูว่ามันเป็นอะไร เช่น เงินลงทุน ต้องดูว่าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามมูลค่าในบัญชีหรือไม่ หรือดูที่ราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนไว้และปรับค่าตามนั้น
งานที่ยุ่งยากขึ้นเห็นจะเป็นเรื่องลูกหนี้การค้า ซึ่งเราต้องจัดการปรับค่าขึ้นหรือลงให้เป็นจริง เราสามารถหาข้อมูลจากหมายเหตุประกอบงบการเงิน บวกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและตรวจดูยอดเงินที่บริษัทเคยเก็บได้จริงๆ และตัดหนี้สูญออกจริงๆ เพื่อให้ได้ค่าที่ใกล้เคียงที่สุด
และส่วนที่ยุ่งยากไม่แพ้กันเห็นจะเป็นเรื่องสินค้าคงเหลือ ต้องดูว่าเป็นสินค้าอะไร กรณีนี้เป็นพวกกระดาษ หนังสือนิตยสารเก่าๆ และหนังสือเล่ม เราต้องไปดูว่าแต่ละอย่างมีเท่าไรและปรับค่าไปตามนั้น สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น รายการนี้มักเป็นที่หมกอะไรต่อมิอะไรเอาไว้ ต้องดูให้ หากหาไม่ได้ว่าเป็นอะไรต้องเผื่อค่าเอาไว้มากๆ
ในส่วนของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ส่วนหลักก็คือ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ส่วนนี้หาข้อมูลจากหมายเหตุประกอบงบได้ แต่ควรตรวจดูราคาที่ดินก็จะดี เพราะบางที่บริษัทบันทึกบัญชีเอาไว้นานแล้วยังไม่ได้ปรับปรุง ราคาที่ดิน อาคารอาจสูงกว่าที่บันทึกเอาไว้ก็เป็นได้ ส่วนเครื่องจักรนั้นให้หักค่าเสื่อมราคาและปรับลดเผื่อเอาไว้มากๆ หน่อย เพราะของพวกนี้กว่าจะขายได้คงนาน ส่วนอื่นเล็กๆ น้อยๆ ส่วนมากจะตัดทิ้งหมด ให้สังเกตว่าบริษัทนี้ไม่มีค่าความนิยม เพราะไม่ได้ไปซื้อบริษัทอื่นมาไว้จึงไม่มี
เมื่อปรับค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จากสินทรัพย์ทั้งหมด 1,370.11 ล้านบาท จะเหลือเพียงแต่ 936.41 ล้านบาท บริษัทนี้ขณะนั้นมีหุ้นอยู่ 19 หุ้น
ดังนั้น ราคาจึงอยู่ที่ 49.28 บาทต่อหุ้น ณ ปี 2002 บริษัทนี้ต้นปี ราคาหุ้นเปิดที่ 41.25 บาท และเป็นราคาที่ต่ำที่สุดของปี เมื่อเทียบกับประมาณการของเราแล้ว ราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าถึง 8 บาท หรือ 19.40% ทั้งนี้ยังไม่รวมมูลค่าของตราสินค้าอย่างนิตยสารชื่อดัง และผู้บริหารที่มีความสามารถ และเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ ซึ่งในที่สุดส่งผลให้หุ้นของบริษัทนี้มีราคาปิดที่ปลายปีที่ 90 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของปี
ปัจจุบัน ราคาหุ้นบริษัทนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในระดับ 100 บาท หรือ 10 บาทที่ราคาพาร์ 1 บาท พร้อมกับการจ่ายปันผล ทุกๆ ไตรมาส ซึ่งถ้าใครถือมาจนทุกวันนี้แล้วก็จะได้ผลตอบแทนมากกว่า 100% ยังไม่รวมเงินปันผล
จะเห็นว่าวิธีการนี้ใช้ได้ดีทีเดียว เพียงแต่เราต้องพยายามหาบริษัทที่มีคุณภาพ และต้องแน่ใจว่าบริษัทนี้ไม่ล้มแน่ๆ แถมยังมีมูลค่าแฝงเอาไว้อีก วิธีการนี้ยังสามารถใช้ได้กับบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมหนักๆ เช่น ปิโตรเคมีได้อีก เลือกบริษัทที่ไม่ล้มแน่ๆ แต่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากๆ เมื่อถึงรอบขาขึ้นของสินค้าราคาก็จะปรับขึ้นหลายเท่าตัวแน่นอน
ในบริษัทที่มีสินค้าที่ตราสินค้าเข้มแข็งก็สามารถใช้ได้ดี อย่างเช่น โคคา โคลา ลองคิดดูว่าเราต้องใช้เงินมากแค่ไหนในการทำลายตราสินค้านี้ให้หายไปจากโลก ได้ และเงินจำนวนนั้นก็คือมูลค่าของกิจการนั้นนั่นเอง
ในบ้านเราเองก็มีบริษัทที่ตราสินค้าเข้มแข็ง และมีมูลค่ามากเช่นกัน เพียงแต่เราต้องสรรหาและเฝ้ารอคอยโอกาสงามๆ ที่ราคาหุ้นจะตกต่ำลงมาให้เราได้ซื้อในราคาถูกๆ และต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากๆ
แน่นอนว่า…เราจะต้องอดทนรอคอย และขยันในการสรรหาครับ–จบ–
–กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 29 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2548–
← Reproduction Cost Of Assetกระบี่ที่ใจ →
PE Ratio
Posted on February 5, 2010 by TVI MOD
เครื่องมือในการประเมินมูลค่าของหุ้น แบบง่ายๆ แต่ค่อนข้างใช้ได้ผลทีเดียวเลยนั้นเห็นจะหนีไม่พ้นการประเมินค่า PE และ PB Ratio
ไม่ว่านักลงทุนทั่วไป นักวิเคราะห์ต่างๆ ก็นิยมใช้ PE Ratio เป็นตัวประเมินค่า เพื่อหาราคาเป้าหมายของหุ้นนั้นๆ จะเห็นได้ว่าค่า PE นั้นได้ถูกใช้กันอย่างกว้างขวาง ยาวนานมาโดยตลอด
ถ้าเรามาดูว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรคืออัตราส่วนอะไร และมีที่มาที่ใช้อย่างไรก็คงจะยังไม่น่าจะล้าสมัยไปนักนะครับ
อัตราส่วนราคาต่อกำไร(PE Ratio)ของหุ้นคือ อัตราส่วนของราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบัน กับกำไรต่อหุ้นที่เราต้องการวิเคราะห์ อัตราส่วนนี้จะบอกว่าราคาหุ้นปัจจุบันนั้นเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นนั้นมี ค่าเท่าไร เช่น หุ้นราคา 10 บาท กำไรต่อหุ้น 1 บาท PE = 10 หรือจะแปลความหมายได้ว่า ถ้าเราซื้อหุ้นบริษัทนี้เราจะต้องจ่ายเงินไปล่วงหน้าถึง 10 เท่า หรือต้องรอให้บริษัททำกำไรคืนให้เราสิบเท่า ถ้าหากว่าบริษัทนั้นทำกำไรปีละ 1 บาท ไปเรื่อยๆ เราต้องรอถึงสิบปี หลังจากสิบปีไปแล้วเราถึงจะได้กำไร หรือคืนทุนใน 10 ปีนั่นเอง แต่ถ้าหากว่าบริษัทนั้นทำกำไรได้รวดเร็วขึ้น เราอาจไม่ต้องรอถึงสิบปีก็ได้
ที่นี้ถ้า PE Ratio เท่ากับ 6 เท่า ก็เท่ากับว่าเราจะคืนทุนใน 6 ปีและหลังจากนั้นเราจะได้กำไรแล้ว แต่แล้วเรามองอย่างนี้ก็ไม่เห็นว่ามันจะบอกอะไรเรามาก แต่อัตราส่วนนี้จะบอกเราได้ว่าหุ้นที่เราซื้อนี่ถูกหรือแพง เช่น หุ้นที่มี PE Ratio เท่ากับ 10 จะแพงกว่าหุ้นที่ PE Ratio เท่ากับ 6 ครับ ไม่ใช่แค่ว่ารอนานกว่ากันเท่านั้น แต่หุ้นที่มี PE Ratio ต่ำกว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น หุ้น PE Ratio เท่ากับ 10 จะให้ผลตอบแทนคาดหวังเท่ากับ 10% แต่หุ้นที่มี PE Ratio เท่ากับ 6 จะให้ผลตอบแทน 16.67% ดังนั้นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมหุ้น PE ต่ำจึงถูกกว่าหุ้น PE สูง
ดังนั้น เวลาเราจะลงทุนซื้อหุ้นเราก็ควรจะชายตาไปมองเจ้า Ratio ด้วยครับ มิเช่นนั้นท่านอาจได้หุ้นที่PE Ratio เท่ากับ 30 เท่า หรือ ให้ผลตอบแทนคาดหวังเพียง 3.33% และมีของแถมเป็นความเสี่ยงที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ
หุ้นที่มี PE Ratio สูงๆ นั้นจะบอกให้เราทราบได้สองอย่างครับ คือ หุ้นนั้นแพงมากๆ อาจเป็นเพราะนักลงทุนกำลังใจกล้าไล่ซื้อหุ้นนั้นกันอย่างเมามันไปกับข่าวดี ของบริษัท หรือกิจการของบริษัทนั้นเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมีอนาคตที่สดใสมากๆ อย่างแรกนั้นค่อนข้างอันตราย เพราะความไม่แน่นอนของข่าวสูงมาก ในตลาดบ้านเราก็เคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้เอง สุดท้ายราคาก็ปรับตัวเข้าหาพื้นฐานที่แท้จริงในที่สุด ส่วนกรณีหลัง เราในฐานะนักลงทุนต้องตรวจสอบผลประกอบการ ตรวจสอบความเป็นไปได้ว่าการเติบโตที่ว่านั้นจริงหรือเทียม
สำหรับหุ้นที่ PE Ratio ต่ำนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า หุ้นนั้นๆ ถูกทีเดียวเลย ถ้าหุ้นนั้นมีPE Ratioต่ำก็จริง แต่บริษัทไม่มีการเติบโตเลย หุ้นบริษัทนั้นก็ไม่จัดว่าถูก แต่ถ้ามีการเติบโตดีแต่ยังไม่มีใครให้ความสนใจอยู่ละก็ เป็นโอกาสของคุณแล้วครับ บางบริษัท PE Ratio ต่ำแต่ค่า PB Ratio สูงมากอันนี้ต้องระวังเช่นกัน เพราะเราซื้อสินทรัพย์ที่เอามาสร้างผลกำไรในอัตราที่สูงมากเกินไปหรือเปล่า เช่น PB Ratio เท่ากับ 4 เท่า นั่นคือถ้าเราต้องการสร้างธุรกิจนี้เองเราจ่ายแค่ 1 แต่ถ้าต้องการซื้อธุรกิจของบริษัทนี้เราต้องจ่ายเงินสูงถึงสี่เท่า ถ้าเป็นธุรกิจที่เข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขันที่คงทน ไม่ขึ้นลงเป็นรอบๆ ก็น่าสนใจครับ
เราอาจจะใช้ PE Ratio คู่กับ PB Ratio เพื่อค้นหาหุ้นที่ถูกในเชิงตัวเลขก่อนก็ได้ครับ แต่ที่ขาดไม่ได้เลย เราต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานของกิจการให้ลึกซึ้งอยู่ดี เราจะได้เข้าใจถึงอัตราการเติบโตที่แท้จริง เข้าใจว่าในระยะเวลาที่เรากำลังรอให้บริษัททำกำไรจนคืนเงินทุนที่เราลงไปได้ นั้น บริษัทจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะทำกำไรคืนให้เรา หรือ มีกำไรตอบแทนให้เรามากกว่าที่คาดเอาไว้
ที่ขาดเสียไม่ได้จริงๆ คือ เราต้องตรวจสอบงบการเงินของบริษัทด้วยครับ ว่ากำไรที่แสดงนั้นเป็นกำไรแท้หรือกำไรเทียม มีการซ่อนต้นทุนเอาไว้หรือไม่ มีการรับรู้รายได้มากกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ ทั้งหมดนี้ตรวจดูได้จากงบการเงินและหมายเหตุประกอบงบการเงินครับ
ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2548 ทาง http://www.thaivi.com จะมีงานสัมมนาไทยแวลูอินเวสเตอร์ ปี 2548:
‘รวยหุ้นหมื่นล้าน…..เปิดตำนานตีแตก’
ในช่วงเช้าท่าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้สร้างตำนานการลงทุนแบบเน้นมูลค่าในเมืองไทย จะมาบรรยายและตอบข้อซักถามต่างๆ ที่ท่านยังข้องใจเกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นมูลค่า ฟังเคล็ดลับจากปากของท่านครับ
ช่วงบ่ายรับฟังการเจาะลึก อุตสาหกรรมพลังงาน ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทจดทะเบียนชื่อดัง
ท้ายรายการฟังประสบการณ์ตรงจากนักลงทุนแบบเน้นมูลค่า คุณฉัตรชัย ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนแบบเน้นมูลค่าที่สามารถทำให้ตัวเองและครอบครัว พบกับอิสระทางการเงิน โดยใช้เงินลงทุนเพียงไม่กี่แสนบาทในหุ้นมูลค่าให้กลายเป็นเงินหลายสิบล้าน ถ้าคิดแล้วท่านสามารถทำเงินให้มีมูลค่าเพิ่มได้ถึง 30 กว่าเท่าในระยะเวลาเพียง 6 ปี คุณฉัตรชัยจะมาเล่าให้เราฟังว่า ท่านมีวิธีคิดอย่างไร ปฏิบัติอย่างไรให้เงินเก็บเพียงน้อยนิดมีมูลค่าเพิ่มได้อย่างยั่งยืน
–กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2548–