Posts from the ‘Business’ Category

คำพิพากษา

คำพิพากษา
ความเป็นชายขอบและสิทธานุมัติทางสังคม
27 ตุลาคม 2560คำพิพากษา คำพิพากษา เป็นงานวรรณกรรมประเภทนวนิยาย ประพันธ์โดย ชาติ กอบจิตติ ได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติ พ.ศ. 2524 และรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (South East Asia Writers Award : S.E.A. Write) พ.ศ. 2525 เล่าเรื่องของ “ฟัก” ชายหนุ่มผู้ตกเป็นจาเลยสังคมจากความผิดที่ตัวเขาเองไม่ได้ก่อ ถูกตีตราว่าเป็นคนเลวที่ประพฤติผิดแผกไปจากจารีตประเพณีอันดีงามของสังคม กระทั่งกลายเป็นตัวประหลาด เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ ได้รับความสมเพชจากคนในสังคม ท้ายที่สุดก็ต้องพบจุดจบอันน่าเวทนา สิ้นชีวิตไปอย่างไร้เกียรติ ไม่ต่างจากสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่มีใครใส่ใจ ซ้ายังมีแต่คนปีติยินดีที่ตัวอัปรีย์ในหมู่บ้านสูญสิ้นไปได้เสียที วรรณกรรมเรื่องนี้นาเสนอประเด็นเรื่องความเป็นชายขอบและสิทธานุมัติทางสังคมได้อย่างชัดเจน ปมขัดแย้งหลักของ คำพิพากษา คือความเข้าใจผิดของสังคมที่มีต่อฟัก กล่าวหาว่าฟักประพฤติผิดในกามกับ “นางสมทรง” ซึ่งมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงของตน กระทั่งได้รับการลงโทษทางสังคมโดยการถูกผลักออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ผู้ประพันธ์เปิดเรื่องด้วยกล่าวถึงปมปัญหานี้ในบทนำ เล่าต้นตอของปมปัญหา แล้วจึงบรรยายชีวิตของฟักตั้งแต่เด็ก พร้อมกับบรรยายลักษณะของสังคมที่ฟักอาศัยอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจจักรวาลของเรื่องอย่างคร่าว ๆ จากนั้นในเนื้อหาภาคแรกและภาคหลังจึงประพันธ์ให้เรื่องราวดำเนินไปตามลำดับเหตุการณ์โดยใช้การเล่าเรื่องแบบผู้รู้จำกัด คือเล่าโดยเน้นที่การรับรู้ผ่านมุมมองของตัวละครหลักเป็นหลัก ฟัก ตัวละครเอกของเรื่องผู้ตกเป็นจาเลยสังคมนี้ ครั้งหนึ่งเคยบวชเณร ร่าเรียนอยู่ใต้ร่มเงาของพุทธศาสนาอยู่นับปี ความเก่งกาจทางด้านศาสนาของสามเณรฟักทาให้เป็นความหวังของชาวบ้านว่าต่อไปจะมีพระอาจารย์ที่น่าเคารพอยู่คู่วัดอีกองค์หนึ่ง หลายคนถึงขั้นเรียกสามเณรฟักว่า ‘อาจารย์ฟัก’ ก่อนที่ฟักจะตัดสินใจสึกออกมาเพื่อดูแล “ฟู” ผู้เป็นบิดา กระนั้น ฟักก็ยังมิวายได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลตัวอย่างประจำตำบล เนื่องด้วยความประพฤติอันดีงามที่ฟักได้กระทำอยู่เป็นนิจ จุดเปลี่ยนของชีวิตฟักเกิดขึ้นเมื่อพ่อเสียชีวิตลง นอกจากอาชีพภารโรงที่ฟักได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อแล้ว พ่อยังได้ทิ้งสมทรง หญิงไม่เต็มเต็งที่ตนรับเข้ามาอยู่ร่วมชายคาในฐานะภรรยาไว้ให้ฟักดูแลอีกด้วย กระทั่งเกิดข่าวลือว่าฟักได้สมทรงเป็นภรรยา นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ชีวิตของฟักดาเนินไปถึงจุดต่าสุดของชีวิต เพราะหลังจากวันนั้น ฟักก็เป็นที่โจษจันของชาวบ้านร้านตลาดว่า ‘เอาแม่เลี้ยงเป็นเมีย’ ต่อมศีลธรรมของคนในตาบลเริ่มทางาน วิพากษ์วิจารณ์ฟักกันอย่างสนุกสนาน แต่หาได้มีผู้ใดใส่ใจจะถามหาความจริงจากปากของฟักไม่ นานวันเข้าเมื่อฟักไม่ออกมาโต้แย้งเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง ก็เหมือนยอมรับกลาย ๆ ว่าที่ชาวบ้านพูดกันนั้นเป็นเรื่องจริง ฟักมีแต่จะเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน ไม่มีใครคบหา ยิ่งเมื่อฟักได้ลองลิ้ม รสสุราจนกระทั่งติดใจที่มันเป็นสิ่งที่ทาให้ตนหนีห่างจากโลกความจริงอันเจ็บปวดรวมทั้งความเครียดที่สะสมพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ความน่าเชื่อถือในตัวก็ยิ่งเหือดหาย จะพูดจะกล่าวอะไร หาได้มีใครเชื่อไม่ ซ้าร้าย ฟักยังถูกกระทาจากคนในสังคมอีกนานัปการ เช่น ถูกครูใหญ่โกงเงิน ถูกลอบดักทาร้ายร่างกาย ในขณะที่เรื่องราวเข้าใจผิดที่ชาวบ้านมีต่อฟักก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้นว่า ไอ้ฟักมีอะไรกับสมทรงในสวนที่รับจ้างดายหญ้ากลางวันแสก ๆ โดยไม่อายฟ้าดิน ไอ้ฟักโกหกหลวงพ่อผู้เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้าน ไอ้ฟักกล่าวหาครูใหญ่ ไอ้ฟัก ฯลฯ ผู้ประพันธ์ใช้วิธีเน้นย้าปมปัญหาเดิม คือความเข้าใจผิดที่คนในสังคมมีต่อฟัก ในการทวีความซับซ้อนของเรื่อง เพิ่มอุปสรรคและความยากลาบากแก่ฟักให้หนักหนายิ่งขึ้น โดยเสริมเข้าไปที่ปัญหาเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว วิธีนี้ทาให้เรื่องราวไม่ซับซ้อนมากนัก ผู้อ่านจึงได้มุ่งเน้นเรื่องราวไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับฟักเพียงอย่างเดียว แต่มีความสงสารเวทนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความทุกข์ที่ฟักได้รับ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อ่านเกิดความเวทนาฟักในฐานะผู้ที่ตกเป็นจาเลยสังคม ถูกสังคมพิพากษาในความผิดที่ไม่ได้ทาแล้ว ผู้ประพันธ์กลับเฉลยให้ประจักษ์ว่าตัวฟักเองก็ไม่ต่างจากชาวบ้านคนอื่น ๆ คือทาตัวเป็นไม่บรรทัด ตัดสินผู้อื่นที่ตนคิดว่ามีสถานะต่ากว่าตน จุดนี้มีข้อดีคือทาให้ผู้อ่านได้รู้จักฟักในอีกมิติหนึ่ง เรื่องราวดาเนินมาถึงจุดวิกฤติหลังเมื่อฟักถูกครูใหญ่โกงเงินและไปประณามครูใหญ่ถึงโรงเรียน ฟักถูกจับตัวไปคุมขังในคุกเป็นเวลาหลายชั่วโมงกระทั่งเกิดอาการอยากสุรา (ลงแดง) จนเสียชีวิตหลังได้รับการปล่อยตัวเพียงไม่นาน หลังจากนั้นเรื่องราวจึงค่อย ๆ ดาเนินผ่านจุดคลี่คลายและสู่จุดจบของเรื่อง คือการจัดการศพของฟักอย่างไร้เกียรติ แม้วิญญาณของฟักจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่ร่างกายของฟักยังอยู่ ศพของฟักถูกนามาใช้สาหรับทดลองเตาเผาศพแบบใหม่ ไม่ได้รับการประกอบพิธีทางศาสนาอย่างที่ควรจะเป็น ฟักสิ้นชีวิตอย่างไร้เกียรติ คงไว้แต่เรื่องตานานความเลวให้เป็นที่กล่าวขานกันเรื่อยไป โดยที่ฟักไม่มีโอกาสแม้แต่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง เมื่อพิจารณาเนื้อหา กล่าวได้ว่า คาพิพากษา เป็นวรรณกรรมชายขอบที่นาเสนอภาพของคนชายขอบหลายกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือคนที่ถูกเชื่อว่าเป็นผู้ทาผิดจารีตประเพณีของคนหมู่มาก แม้ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องนับถือจากคนในสังคม แต่เมื่อใดก็ตามที่บุคคลผู้นั้นถูกเข้าใจว่าประพฤติตนดังว่า สังคมก็พร้อมผลักมันผู้นั้นให้ออกจากความเป็นปกติของสังคมทันที กลุ่มถัดมาคือคนที่กลายเป็นชายขอบเนื่องจากปฏิเสธความเชื่อหรือค่านิยมหลักที่สังคมยึดถือ ไม่ยอมประพฤติตนและรับเอาความเชื่อที่สังคมยึดถือว่าดี และกลุ่มสุดท้ายคือคนที่ดาเนินชีวิตของตนตามปกติ แต่สังคมกลับหยิบยื่นสถานภาพความเป็นชายขอบให้อันเนื่องมาจากทัศนคติบางประการของคนในสังคม ฟัก เป็นตัวแทนขอบคนชายขอบกลุ่มแรก ความเข้าใจผิดที่คนในสังคมมีต่อฟักคือการผิดประเวณี ร่วมเพศกับนางสมทรงซึ่งมีสถานะเป็นแม่เลี้ยงคนเอง สาหรับสังคมเล็ก ๆ อย่างตาบลที่ฟักอาศัยอยู่แล้ว พฤติกรรมเช่นนี้น่ารังเกียจเกินกว่าจะรับได้ กรอบจารีตที่คนในตาบลนี้ยึดถือมีพื้นฐานตั้งอยู่บนความเชื่อทางพุทธศาสนา การกระทาของฟักที่ถูกเข้าใจผิดนี้ถือได้ว่าผิดศีลข้อที่สาม คือการประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ‘ผู้อื่น’ ในที่นี้หมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าของตนด้วยแล้ว การกระทาของฟักในข่าวลือเรื่องนี้จึงเรียกได้ว่าเลวทรามต่าช้าไม่ต่างจากพฤติกรรมของสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่พฤติกรรมที่คนปกติในสังคมจะทากัน ดังที่ “ละมัย” ต้นตอข่าวลือยกข้อสังเกตของตนมาเสริมว่า “…คงมีแต่หมาเท่านั้นที่หื่นกระหายอยู่ในเดือนนี้…” (คาพิพากษา, 2524 : 11) เมื่อเป็นเช่นนี้ ฟักจึงค่อย ๆ ถูกสังคมผลักให้กลายเป็นคนชายขอบในชั่วข้ามคืน หลังจากที่ข่าวลือจากปากนางละมัยแพร่ออกไปให้เป็นที่รู้กันในวงกว้าง เมื่อกลายเป็นคนชายขอบแล้วก็ยากที่ฟักจะกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกครั้ง ฟักไม่ได้พยายามอธิบายความจริงให้คนในสังคมเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าตนนั้นหาได้ประพฤติผิดในกามกับแม่เลี้ยงไม่ แต่หวังเพียงว่าสักวันหนึ่งชาวบ้านจะเข้าใจและเลิกคิดว่าตัวเขาไม่ได้มีความประพฤติดังว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีโอกาส ฟักก็พยายามอธิบายว่าตนกับสมทรงไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใด แต่สายไปเสียแล้ว ความจริงที่ออกจากปากฟักกลายเป็นคาแก่ตัว เรื่องเล่าสนุกปากที่ออกจากปากคนนั้นคนนี้ เพิ่มเสริมเติมแต่งไปไม่รู้เท่าไรต่างหากที่กลายเป็นความจริงแทนที่ ความเป็นชายขอบที่สังคมหยิบยื่นให้ฟัก ทาให้เขากลายเป็นบุคคลที่ อ่านไม่ออก มองไม่เห็น ไร้ซึ่งพลังอานาจใด ๆ ในสังคมอีกต่อไป ในขณะที่นางสมทรง เป็นตัวแทนของคนที่ปฏิเสธความเชื่อหรือค่านิยมหลักที่สังคมยึดถือ ไม่ยอมประพฤติตนและรับเอาความเชื่อที่สังคมยึดถือว่าดี อาการทางประสาทของนางสมทรงสื่อถึงแนวความคิดที่แตกต่างจากคนหมู่มาก ทั้งนี้ แนวคิดและจารีตประเพณีของคนในสังคมที่นางและฟักอาศัยอยู่นั้นตั้งอยู่บนหลักของพุทธศาสนา

…วัดเป็นเสมือนศูนย์รวมของผู้คนในตาบลแห่งนี้ ลูกเกิดก็ต้องมาที่วัด ให้หลวงพ่อตั้งชื่อให้

ตามวันเดือนปีของเด็กที่เกิดเพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวลูก ส่วนพวกที่มีลูกหลานอายุครบบวชก็

ต้องมาบวชที่วัด จาพรรษาอยู่ที่วัด แน่นอนคนตายก็ต้องเอาศพมาเผกันที่วัด ใครจะพบปะ

สังสรรค์ กานันจะประชุมลูกบ้านต่างต้องมาที่วัด เจ้าหน้าที่จากอาเภอจะมาทาบัประจำตัวให้ประชาชนก็ต้องมาทาที่วัด… (คาพิพากษา, 2524 : 11) สำหรับนางสมทรงแล้ว แนวคิดนี้ไม่ได้อยู่ในซอกหลีบความคิดของนางเลย สาหรับนาง วัดเป็นเพียงแหล่งอาหารที่ช่วยให้นางอิ่มท้อง และเป็นโรงมหรสพชั้นเลิศยามมีงานบุญหรืองานศพของคนใหญ่คนโต หาได้เป็นศูนย์รวมใจหรือที่ที่จะมาหาความสงบสุขใต้ร่มเงาของพุทธศาสนาไม่ กล่าวคือ นางไม่ได้มีความคิดด้านศาสนาอยู่ในห้วงคานึงของนางเลย นางไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักบาปใด ๆ ทั้งสิ้น นางพอใจกับชีวิตหรรษาของนาง มีความสุขกับการลัดเลาะเที่ยวหาสมบัติอันได้แก่เศษขยะที่ชาวบ้านโยนทิ้งไว้ ประเด็นนี้ได้รับการตอกย้าให้ชัดเจนขึ้นในฉากวันบังสุกุลกระดูก ในวันนี้ คนในสังคมที่ยอมรับความเชื่อทางพุทธศาสนาอันเป็นจารีตหลักของสังคมต่างแต่งกายด้วยชุดสีขาว-ดา ขณะที่นางสมทรงแต่งกายด้วยเสื้อลายดอกแดงกับผ้าถุงสีส้มซึ่งเป็นชุดเก่งของนาง “ชุดเก่ง” ในที่นี้ เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อหรือแนวคิดที่นางยอมรับยึดถือ ไม่ว่าแนวคิดดังกล่าวจะเป็นความเชื่อใด แต่เมื่อความเชื่อของนางขัดกับชุดขาว-ดา อันเป็นสัญลักษณ์ของจารีตที่คนส่วนใหญ่ยอมรับแล้ว นางก็ถูกผลักให้กลายเป็นคนชายขอบ เป็นที่รังเกียจของคนในสังคมทันที ไม่มีใครคบค้าสมาคมกับนาง เพียงเพราะแนวคิดของนางไม่เหมือนคนอื่น “...สีแดงดอกเคลื่อนไปทางไหน สีขาว-ดาก็แหวกออกเป็นทาง…” (คาพิพากษา, 2524 : 71) นางสมทรงคงจะดาเนินชีวิตบนความเชื่อของตนไปอย่างปกติสุข หากนางไม่อุตริไปยุ่งย่ามกับความเชื่อที่คนส่วนใหญ่นับถือ แต่เมื่อใดก็ตามที่นางตั้งคาถามหรือกระทั่งลบหลู่ความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ยืดมั่นถือมั่นแล้ว นางก็จะถูกคนในสังคมลงโทษทันที

…นางเดินออกจากศาลาโรงทึมไปได้สักระยะหนึ่ง พลันสายตาไพล่ไปมองที่เจดีย์ซึ่งตั้งอยู่ทาง

ด้านข้างวิหาร มีคนกลุ่มหนึ่งกาลังนั่งพนมมือจับสายสิญจน์อยู่รอยเจดีย์ พระสี่รูปยืนถือ

ตาลปัตรจับสายสิญจน์สวดอยู่ ม่ายสมทรงหันเหทางเดินเข้าไปดู นางหยุดยืนค้าหัวคนนั่ง ยืนดู

อยู่สักครู่ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา โดยไม่มีใครรู้ว่านางขบขันอะไร

ทันใดนั้นม่ายสมทรงถลกผ้าถุงสีส้มขึ้นจนถึงเอว แอ่นเนินเนื้อไปทางคนกลุ่มนั้น ทิดส่งสุดระงับโทสะเอาไว้ได้ เขาและพี่น้องเหมือนโดนลบหลู่กันถ้วนหน้า ไม่เพียงเท่านั้น แต่เป็นการ ลบหลู่ต้นตระกูล ลบหลู่สิ่งที่เคารพบูชาอีกด้วย ทิดส่งวิ่งไล่กวดจนทันนาง ลงมือฟาดไม่ยั้งไม่ นับ ตีจนไม้หักกระเด็นคามือ ม่ายสมทรงวิ่งพลางล้มลุกคลุกคลานหนีเอาตัวรอดตกใจกลัว มี

รอยแดงเป็นแนวติดไปทั้งตัว…
(คำพิพากษา, 2524 : 73) ในขณะที่สัปปะเหร่อไข่เป็นตัวแทนของคนที่ดาเนินชีวิตของตนตามปกติ แต่สังคมกลับหยิบยื่นสถานภาพความเป็นชายขอบให้อันเนื่องมาจากทัศนคติบางประการของคนในสังคม ในกรณีนี้คือทัศนคติที่คนในสังคมมีต่ออาชีพสัปปะเหร่อ ชาวบ้านมองอาชีพสัปปะเหร่อว่าเป็นอาชีพที่สกปรก เนื่องด้วยลักษณะของงานนั้นต้องอยู่กับศพซึ่งเป็นสิ่งสกปรก มีกลิ่นเลือดและน้าหนองคาวคลุ้ง ไม่มีใครอยากสุงสิงกับสัปปะเหร่อไข่เท่าใดนักเนื่องด้วยเกรงว่าสิ่งสกปรกโสมมดังกล่าวจะกระเด็นกระดอนมาต้องร่างกายอันสะอาดผุดผ่องของตน ยามสัปปะเหร่อไข่ใส่บาตรพระ ก็ไม่มีพระรูปใดหรือเด็กวัดคนไหนทานอาหารของสัปปะเหร่อไข่

…จากอาชีพสัปปะเหร่อมันแสนสกปรก คลุกคลีกับคนตาย กลิ่นเน่าเหม็นของศพ คราบ

เหนียวเหนอะหนะของน้าเหลือง เข้า-ออกโกดังเก็บศพที่เหม็น อับชื้น หนู หนอนชอนไชศพ

สิ่งเหล่านี้น่ารังเกียจแต่แกกลับคลุกคลีอยู่กับมันได้ พลอยให้นึกคลื่นเหียน สิ่งเหล่านี้คงอบร่า

ให้แกเป็นคนสกปรก และกับข้าวที่แกใส่บาตรคงต้องติดเชื้อแห่งความสกปรกนั้นมาอย่างไม่

ต้องสงสัย… (คาพิพากษา, 2524 : 116) ฟัก สมทรง และสัปเหร่อไข่ต่างถูกสังคมหยิบยื่นความเป็นชายขอบให้ด้วยกันทั้งสามคน แต่น่าสังเกตว่าในจานวนนี้มีเพียงฟักคนเดียวที่พยายามกลับเข้าไปอยู่ในสังคมอีกครั้ง ฟักหวังอย่างยิ่งยวดว่าสักวันหนึ่งคนในสังคมจะเข้าใจกระจ่างชัดว่าเขากับสมทรงนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดต่อกัน เป็นเพียงแค่คนร่วมชายคาเดียวกันเพียงเท่านั้น ความเครียดที่ถาโถมเข้ามาหาฟักนั้นเกิดจากการที่ฟักใส่ใจคาวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ฟักปรารถนาให้สังคมชื่นชมตนอย่างที่เคยเป็น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้มองเขาอย่างคนปกติทั่วไปในสังคมก็เพียงพอ การเพียรทางานของฟัก นอกจากจะเพื่อหลีกหนีจากความเครียดที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนแล้ว ยังเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อสังคมว่าเขาเองไม่ใช่คนไร้ค่า เขายังสามารถทางานได้ดีไม่ต่างจากแต่เก่าก่อน เขายังมีประโยชน์ต่อสังคม สังคมจึงควรอ้าแขนรับเขากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งเสียที ตรงกันข้ามกับสมทรงและสัปปะเหร่อไข่ ทั้งคู่ไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของคนในสังคมมากนัก สมทรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในโลกของตัวเอง ในขณะที่สัปปะเหร่อไข่เองแม้จะเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้มันเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตเช่นกรณีของฟัก ทั้งสัปปะเหร่อไข่และสมทรงจึงใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แตกต่างกับฟักอย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุด กระบวนการที่สังคมทาให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นชายขอบ ก็ไม่ต่างกับการหยิบยื่นความอยุติธรรมที่ทาบนพื้นฐานของภาพมายาทางศีลธรรมที่สังคมตีกรอบขึ้นมานั่นเอง นอกจากประเด็นเรื่องความเป็นชายขอบ คาพิพากษา ยังนาเสนอประเด็นเรื่องสิทธานุมัติทางสังคม (social sanction) สิทธานุมัติทางสังคม คือวิธีการสร้างระบบการควบคุมและลงโทษทางสังคม ที่สังคมสร้างขึ้นเพื่อให้คนในสังคมปฏิบัติตามบรรทัดฐานที่สังคมสร้างขึ้น หากผู้ใดไม่ประพฤติตนตามบรรทัดฐานที่สังคมยอมรับ แต่พฤติกรรมนั้นไม่ได้ถือเป็นความผิดพอที่จะทาให้ผู้นั้นได้รับการลงโทษทางกฎหมาย คนในสังคมก็จะลงโทษด้วยตนเอง ในกรณีของฟัก บทลงโทษที่ฟักได้รับจากสังคมคือการถูกติฉินนินทาและถูกผลักให้ออกจากการมีส่วนร่วมในสังคม ยิ่งมีข่าวลือของฟักในทางลบมากขึ้นเท่าใด เขาก็เหมือนถูกผลักให้ห่างออกจากขัณฑสีมาของความเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคมมากขึ้นเท่านั้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในกรณีของฟัก เขาถูกลงโทษจากสังคมทั้ง ๆ ที่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมโดยรวมว่าเขาได้เสียกับนางสมทรงจริง ๆ ด้วยซ้า กล่าวคือ ข่าวลือที่แพร่ออกไปเกี่ยวกับตัวเขาเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีเค้ามูลความจริงใด ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับสารนี้ไปก็หลงเชื่ออย่างง่ายดายและนาไปแพร่กระจายต่อจนกระทั่งนาความกลัดกลุ้มมาสู่ตัวฟัก เนื่องจากฟักได้กลายเป็นคนชายขอบกระทั่งทาให้ฟักกลายเป็นกลุ่มคนที่สังคม อ่านไม่ออก มองไม่เห็น คาพูดของฟักจึงไร้ซึ่งความน่าเชื่อถืออีกต่อไป สังคมเลิกใส่ใจความจริงจากปากฟัก แต่กลับยึดถือเอาคาบอกเล่าปากต่อปากจากคนอื่นเป็นสาคัญ ไม่ใช่ว่าฟักไม่เคยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ แต่ฟักไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมีอานาจโน้มน้าวใจใครได้อีกต่อไป ไม่ใช่เณรน้อยฟักหรืออาจารย์ฟักผู้เป็นที่เลื่อมใส ไม่ใช่พ่อฟักที่เป็นบุคคลตัวอย่างประจาตาบล แต่เป็นแค่ไอ้ฟักที่อุตริเอาเมียพ่อเป็นเมียตัวเอง ตรงกันข้าม คนที่มีอานาจพอจะทาให้สังคมเห็นดีเห็นงามไปด้วยและมีพลังพอจะโน้มน้าวสังคมได้ คือคนที่มีคุณลักษณะหรือประพฤติตามกรอบขนบประเพณีของสังคมหรือครอบครองคุณค่าที่สังคมยอมรับ ในที่นี้คือ ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทอง และศาสนา ด้วยเหตุนี้ ครูใหญ่ กานัน และหลวงพ่อ จึงเป็นตัวแทนของอานาจในวรรณกรรมเรื่องนี้ ทุกคาพูดของตัวละครทั้งสามจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นความจริงเสมอ เมื่อเกิดข้อพิพาทระหว่างคนชายขอบในสังคมอย่างฟัก กับบุคคลที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสังคมอย่างครูใหญ่ จึงไม่แปลกที่สังคมจะเลือกเชื่อคาพูดของครูใหญ่มากกว่าจะฟักความจริงจากปากฟัก ลีลาการประพันธ์ของ ชาติ กอบจิตติ ในวรรณกรรมเรื่องนี้ที่โดดเด่นอย่างหนึ่ง คือการบรรยายรายละเอียดในแต่ละฉากอย่างละเอียด โดยเฉพาะการบรรยายอากัปกิริยาของฟักที่บรรยายแทบทุกอิริยาบถ การบรรยายรายละเอียดเช่นนี้ทาให้ผู้อ่านจินตนาการได้ชัดเจนทั้งภาพ เสียง กลิ่น ผู้ประพันธ์ไม่เพียงบรรยายถึงสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่ยังบรรยายกระทั่งความรู้สึก ห้วงคานึง และกระแสสานึกที่โลดเล่นอยู่ในสัมปชัญญะของฟัก ดังฉากต่อไปนี้

…นางนี่ก็ชอบดอกไม้เหมือนกัน ยิ่งดอกพู่ระหงสีแดงด้วยละก็เห็นไม่ได้ทีเดียว ไม่รู้เป็น

อะไร จะว่าบ้าก็ไม่ใช่ ไม่เคยเห็นอาละวาดสักที แต่ชักไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว นึกยังไงนะถึงเปิด

นมให้ครูปรีชาดู เมื่อหัวค่านี้ยังจะมาขอนอนด้วยอีก ชักยังไงอยู่ ฮื่ย… ไม่มั้ง คงไม่ใช่อย่างนั้น

หรอกน่า รึว่ามันคลั่งเพราะมันอยากวะ พ่อตายไปตั้งเดือนกว่าแล้วนี่หว่า ไอ้ทากันนี่เขาว่า

เสพติดนะ ลองได้เคยแล้วมันจะเลิกไม่ได้ง่าย ๆ เฮ้อ กิเลส… แล้วมันจะบ้ารึเปล่าวะนี่ ถ้าเกิด

บ้าขึ้นมากูจะทายังไง เฮ้อ พ่อ… เอาห่วงมาทิ้งไว้ให้ข้าแท้ ๆ ถ้าไม่มีนางเสียคนหนึ่ง ข้าคงจะ

บวชให้พ่อไปแล้ว ไม่ต้องมาเป็นทุกข์วุ่นวายใจอย่างทุกวันนี้ นี่ชื่อเสียงไม่เหลือแล้ว หมด

แล้ว…เอาเมียพ่อมาทาเมียตัวเอง… ไม่มีใครเชื่อเลยสักคนว่าข้าไม่เคยยุ่งกับเมียพ่อ พ่อรู้อยู่ใช่

ไหมว่าข้าไม่เคยยุ่งจริง ๆ แล้วทาไมไม่มีใครยอมเชื่อข้าล่ะ ครูใหญ่ยังไม่ยอมเชื่อเลย นางก็

ปากไวดันไปด่านางละมัยเขาเข้า ไม่รู้พูดออกมาได้ยังไง น่าอายจริง เฮ้อ… ถ้าได้ผู้หญิงคนอื่น

เป็นเมียก็คงไม่มีอะไร หรือว่าจะไล่มันไปอยู่ที่อื่นดีวะ… (คาพิพากษา, 2524 : 47) การบรรยายอย่างละเอียดกระทั่งลึกลงไปถึงระดับอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ทาให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วมกับตัวละคร ก่อให้เกิดความเห็นใจตัวละครที่ต้องประสบทุกข์เวทนานั้นและได้เข้าไปอยู่ในจักรวาลแห่งความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในระดับลึกซึ้ง (intimate) ถึงขีดสุด นอกจากนี้ วรรณกรรมเรื่องนี้ยังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ ผู้ประพันธ์นาเสนอสัญลักษณ์เป็นภาพแทนของสิ่งต่าง ๆ ในสังคมผ่านการกระทาของตัวละครในเหตุการณ์ต่าง ๆ การสอดแทรกสัญลักษณ์นี้หลายครั้งก็นาเสนอพร้อมกันกับการใช้การเปรียบเทียบ เช่น เสียงระฆังในฉากวันสงกรานต์เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่สังคมเทิดทูนบูชา เช่น เกียรติยศ เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ และชาติตระกูล สิ่งเหล่านี้หาได้มีคุณค่าในตัวเองแต่แรกเริ่มไม่ แต่มนุษย์เป็นผู้มอบความหมายและตีค่าให้แก่มัน กระทั่งเอามาเป็นสิ่งวัดคุณค่าของมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่ “มือ” ที่ปรากฏในฉากเดียวกันนั้น เป็นสัญลักษณ์ของอคติของคนในสังคมที่คอยกดฟักไว้ไม่ให้กลับมายืนได้อย่างปกติในสังคม เป็นสิ่งที่มีแต่จะผลักให้ฟักกลายเป็นคนชายขอบมากขึ้นเรื่อย ๆ สัญลักษณ์ที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่งคือ สุนัขสีดาที่มีท่าทางคล้ายสุนัขบ้า สุนัขตัวดังกล่าวเข้ามาในโรงเรียน กระทั่งพบเจอกับกลุ่มนักเรียน ครูใหญ่สรุปว่าอาการของสุนัขดังกล่าวคืออาการของสุนัขบ้า เพราะฉะนั้นจึงจาเป็นต้องฆ่าทิ้งเสียก่อนที่มันจะมาทาร้ายนักเรียนหรือคนอื่น ๆ ไม่มีใครตรวจสอบให้แน่ชัดว่าสุนัขตัวนี้เป็นสุนัขบ้าจริงหรือไม่ แต่ยึดเอาตามอาการเท่าที่เห็น แล้วจึงแถลงเป็นข้อสรุป หยิบยื่นความตายให้แก่มัน อาจด้วยเห็นว่ามันเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งซึ่งไม่ได้ครอบครองชีวิตที่มีค่าเท่าใดนัก เมื่อพิจารณาจะเห็นว่า สุนัขตัวนี้เป็นเสมือนตัวแทนของฟักทั้งในอดีต ปัจจุบัน และยังเป็นภาพทานายอนาคตของฟัก กล่าวคือ ฟักถูกเข้าใจผิดว่าได้เสียกับนางสมทรงโดยไม่มีผู้ใดมีหลักฐานมารองรับข้ออ้างดังกล่าว เช่นเดียวกับที่สุนัขตัวนี้ถูกเข้าใจว่าเป็นสุนัขบ้า ทั้งที่อาการที่มันเป็นอยู่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นอาการของโรคชนิดอื่น ฟักถูกก่นด่าสาปแช่งจากชาวบ้าน เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์จากชาวบ้านร้านตลาด ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่สุนัขตัวนี้ได้รับจากครูและนักเรียนในโรงเรียน ท้ายที่สุด สิ่งที่สุนัขตัวนี้ได้รับคือความตาย ไร้ซึ่งผู้เห็นใจ ตรงกันข้าม กลับมีแต่คนยินดีที่มันตายไปเสียได้ เช่นเดียวกับฟักในตอนจบที่ต้องสิ้นชีวิตอย่างไร้เกียรติและน่าเวทนา ศพของสุนัขตัวนี้ไร้ผู้ใส่ใจ เสมือนหนึ่งว่าเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง หาใช่ร่างกายที่เคยมีวิญญาณอันบริสุทธิ์อยู่ไม่ เช่นเดียวกับศพของฟักที่ถูกใช้ในการทดลองเตาเผาศพแบบใหม่ ไม่มีใครใส่ใจว่าควรจะนาไปประกอบพิธีตามศาสนาอย่างที่ควรจะเป็น คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ ถือเป็นงานประพันธ์วรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นโศกนาฏกรรมสามัญที่เกิดขึ้นอยู่เป็นนิจในสังคมไทยได้อย่างดีเยี่ยม มีลีลาการประพันธ์ที่สามารถนาพาผู้อ่านเข้าสู่จักรวาลในเรื่องในระดับที่ลึกถึงระดับความรู้สึกจิตในของตัวละคร ในขณะเดียวกันก็แทรกความหมายแฝงผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏในเรื่องได้อย่างแยบยล สมควรแก่รางวัลที่ได้รับมาทั้งสองรางวัล


บทวิจารณ์โดย วุฒิชัย ม้องพร้า

คำพิพากษา


เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน VI Chonburi Meeting#10 ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ

VI Chonburi Meeting#10 Agenda

Meeting Date : Sunday 29 May 2016
11:15-12:00 สัมมนา#1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
13:00-14:15 สัมมนา #2 การวางแผนและชีวิตนักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
14:15-15:15 สัมมนา #3 ภาพการลงทุน ในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว P’ทิวา(Sai)
15:30-16:15 Q&A และ Share ประสบการณ์ส่วนตัว P’เชาว์ (Investment Biker)
16:15-17:00 สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น P’Champ (Champ_ST)

สัมมนา 1 ธุรกิจโรงพยาบาลและโรงแรม P’Chaiyut (warlord)
1.ธุรกิจโรงพยาบาล
ลงทุนครั้งแรกเยอะ ถ้าหาลูกค้าได้ก็จะไปตลอด
ข้อดี 1.)Growth ต่อเนื่อง 2.)ค่ารักษาพยาบาลยังไม่แพงเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ 3.)Local Monopoly 4.)Switching cost สูง 5.)Aging Society สังคมผู้สูงอายุ
ความเสี่ยง ขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ, การฟ้องร้อง, การควบคุมจากรัฐ
การควบรวมกิจการ – ทำให้เพิ่มอํานาจการต่อรองกับ suppliers – เกิด EOS: Economy of Scale ใช้ทรัพยากรในการบริหารงาน ร่วมกัน – การส่งต่อคนไข้เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น

2.ธุรกิจโรงแรม
ข้อดี – เติบโตต่อเนื่องตามการท่องเที่ยว และการเดินทางของประชากรในโลก – ธุรกิจมีลักษณะเป็น Location Based, Brand Recognition – อาศัยประสบการณ์, ความเชี่ยวชาญ และใบอนุญาต – ราคาห้องพักของโรงแรมไทย และค่าครองชีพยังถูก – ภูมิศาสตร์เป็น hub ในการคมนาคมไปยังประเทศเพื่อนบ้าน – ไมตรี และนิสัยการบริการของคนไทยดีเยี่ยม – สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามในประเทศไทย
ความเสี่ยง สถานการณ์การเมือง, การก่อการร้าย, ภาวะเศรษฐกิจโลก

คำศัพท์ที่น่าสนใจ
OCC (Occupancy Rate): อัตราการเข้าพัก เช่น 80%
ARR (Average Room Rate): อัตราค่าห้องพักเฉลี’ยต่อคืน
REVPAR (Revenue per Available Room): อัตราค่าห้องพัก เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีทั้งหมดในโรงแรม

REVPAR ย่อมาจาก Revenue per available room เกิดจากการนําเอารายได้จากห้องพัก หลังหักส่วนลดอะไรต่อมิอะไรหมดแล้ว มาหารด้วย จํานวนห้องทั้งหมดที่พร้อมขายให้ลูกค้าในช่วงเวลา นั้น สมมติโรงแรมมีห้องพร้อมขายได้ทั้งหมด 500 ห้องต่อวัน (บางทีอาจมี 550 ห้อง แต่ปิดปรับปรุงอยู่ 50 ห้อง ทําให้ห้องพร้อมขายมีเพียง 500 ห้อง) คิดเป็นรายไตรมาส เช่นไตรมาส 2 ก็มีจํานวนวันทั้งหมด 91 วัน จํานวนห้องพร้อมขายในไตรมาส 2 ก็จะเป็น 500*91 =45500 ห้อง กําหนดให้รายได้จากการขายห้องพักตลอดไตรมาส 2 เป็น 90 ล้านบาท เมื่อหารออกมาจะได้เป็นค่า REVPAR ประมาณ 2000 บาท
หากเรามีการปรับสูตรไปเรื่อยๆ เราจะได้สูตรการคํานวณ REVPAR แบบง่ายขึ้นก็คือ REVPAR เท่ากับ อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน × อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วงเวลานั้น จากสูตรหลัง เราจะเห็นว่า REVPAR คือค่าที่รวมเอาผลกระทบของ “ราคาห้องพัก” และ “อัตราการเข้า พัก” เข้าไว้หมดแล้ว ดังนั้น การอ่านบทวิเคราะห์หุ้นโรงแรม เราจึงให้ความสําคัญกับค่า REVPAR นี้เพียงอย่างเดียว เพราะ มันบอกทุกอย่างเกี่ยวกับโรงแรมเอาไว้ในนี้แล้ว การที’ REVPAR ปรับตัวสูงขึ้น จึงหมายความว่ารายได้ของโรงแรมก็ควรจะสูงขึ้นตามไปด้วย REVPAR จะดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าโรงแรมจะใช้กลยุทธเช่นไร ในบางช่วง อัตราการเข้าพักอาจจะ ต่ำ ซึ่งอาจทําให้ค่า REVPAR ลดลง แต่โรงแรมอาจขายห้องในราคาเฉลี่ยสูงขึ้น (นักท่องเที่ยวหลักอาจ เป็นยุโรปที่เลือกห้องที่มีราคาแพง) ท้ายที่สุด REVPAR อาจปรับตัวขึ้นแทนที่จะลงก็เป็นได้ โดยส่วนใหญ่การลดค่าห้องเพื่อหวังกระตุ้นอัตราการเข้าพักนั้น โรงแรมมักไม่เลือกใช้ เช่นในไตรมาส 2 ปีที่ แล้ว แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง อัตราการเข้าพักต่ำลง โรงแรมระดับหรูกลับไม่ยอมลด ราคาลงมา เพราะถึงลดก็ไม่แน่ว่าจะทําให้อัตราเข้าพักสูงขึ้นได้ ท้ายสุดอาจไปทําให้ REVPAR แย่ลง หนักกว่าเดิมก็เป็นได้
ที่มา: facebook Wattana Stockpage

สัมมนา 2 การวางแผนและชีวิต นักลงทุนเต็มเวลา P’Ake Thamrong
1.เพื่อ cover รายจ่ายในการใช้ชีวิตสำหรับนักลงทุนเต็มเวลา จำเป็นที่เราจะต้องหา Passive Income
นอกจากนั้นเราควรที่จะเขียน,วางแผน ข้อมูลเกี่ยวกับ รายได้รายจ่าย โดยแบ่งข้อมูลเป็นรายได้ประจำ,ไม่ประจำ ค่าใช้จ่ายประจำ,ไม่ประจำ
โดยพื้นฐานเราควรที่จะมีเงินสำรองไว้สำหรับ cover ค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือน

2.ในสมัยที่ยังทำงานบริษัทอยู่นั้น ทัศนคติในการทำงานนั้น เราควรจะทำงานให้เต็มที่โดยต้องพยายามทำงานให้เกินเงินเดือน (อย่าทำงานแค่ให้ผ่านไปวันๆ) ซึ่งจะส่งผลทำให้เราเต็มที่กับเรื่องอื่นๆอย่างเช่นการลงทุน แล้วทำให้ผลของการลงทุนดีขึ้นตามไปด้วย คุณจะมีเงินหรือประสบความสำเร็จมากขนาดไหน อยู่ที่ว่าความสามารถของคุณถึงรึเปล่า

3.เรื่องการบริหารเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญมากของคนเรา เราควรจึงหาวิธีการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฟัง CD ความรู้ระหว่างขับรถ, อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจในช่วงที่รอทานข้าวเป็นต้น

4.ความรู้ในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงควรตั้งเป้าในการอ่านหนังสือ, ศึกษาข้อมูลหุ้น ไว้ โดยแหล่งข้อมูลเบื้องต้นเช่นอ่านหนังสือพิมพ์ทางธุรกิจ,Annual Report , ศึกษาห้องร้อยคน ร้อยหุ้น ใน web thaivi เป็นต้น

5.รักใคร เทิดทูนใคร ต้องยึดหลักกาลามสูตร
(ผมขออนุญาติขยายความเพิ่มเติมจาก web http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm)
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

  1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
  2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
  3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
  4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
  5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
  6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
  7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
  8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
  9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
  10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

ตัวอย่าง

  1. อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท “เขาว่า” “ได้ยินมาว่า” ทั้งหลาย
  2. อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท “ใครๆว่า” “โบราณว่า” ตามกระแส
  3. อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
  4. อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
  5. อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
  6. อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
  7. อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
  8. อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
  9. อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
  10. อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้

สัมมนา 3 ภาพการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำระยะยาว (P’ทิวา Sai)
1.ภาพปัจจุบันนั้น หลังจากเกิดปัญหา Subprime ที่ America นั้นหลังจากนั้นแต่ละประเทศนำโดย America ก็อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ผ่าน QE1,2,3 ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้ Europe และ Japan ก็หันมาใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งส่งผลทำให้ดอกเบี้ยในบางประเทศเช่น Germany และ Japan ในปัจจุบันเองก็ถึงขั้นติดลบ

2.Demand ของโลกเริ่มค่อยๆลดลง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มโตช้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่หลายๆประเทศในโลกเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Aging Society ซึ่งจะทำให้ต่อไปการที่จะหาหุ้น Growth นั้นจะเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแรงขับด้าน Demand ที่ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆ

3.Trend ใหญ่ของโลกในอนาคต คือแต่ละประเทศจะเริ่มไม่ใช้เงินสดหรือเงินกระดาษ รวมไปถึงดอกเบี้ยจะเริ่มติดลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศ Sweden เองก็เริ่มเป็นเช่นนั้นแล้ว โดยนอกจากจะเริ่มไม่ใช้เงินสดและดอกเบี้ยติดลบแล้วยังใช้วิธีการแจกเงิน เช่นคนละ 30000 บาทเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งใช้วิธีลดเงินงบประมาณจากส่วนอื่นๆเช่นลดเงินที่จ่ายให้ข้าราชการ

4.E-Commerce เองอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การเติบโต GDP ของโลกลดลง เพราะทุกคนจะสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ต่ำลง

5.เวลาลงทุนไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น อาจจะทำให้เราประมาท ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้

6.เพราะอะไรนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนใหญ่ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ส่วนใหญ่นั้นไม่อยากทำตามนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ตั้งใจทำตามนั้นจึงเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งวิธีการที่จะลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นก็มีขั้นตอนดังนี้ คือ 1.)หา Idea ในการลงทุน 2.)ทำการบ้านเพิ่มเติม เพื่อดูว่า Idea อย่างนี้ work ไหม 3.)หาวิธีลด error ในการตัดสินใจ
แต่วิธีที่คนหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จใช้ก็คือ 1.)ฟังคนอื่น 2.)ฟังคนที่ 2 แล้วดูว่าข้อมูลตรงกับคนที่ 1 ไหม 3.)ถ้าราคาหุ้นเริ่มขึ้น จะเริ่มซื้อหุ้น หลังจากนั้นถ้าราคาหุ้นเริ่มลง ถึงจะเริ่มอ่านบทวิเคราะห์และหรืออ่าน 56-1
(ซื้อด้วยความโลภ ขายด้วยความกลัว หรือซื้อเมื่ออ่อนตัว ขายเมื่ออ่อนใจ)

7.การลงทุนหรือการทำธุรกิจนั้นหลายๆกรณีที่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของคนเพียงคนเดียว ยกตัวอย่างเช่น Alibaba ของ Jack Ma นั้นก็เกิดจากการรวมตัวของคนธรรมดา 18 คน

8.เรียนรู้ไม่หยุด อย่าหยุดที่จะเรียนรู้และอย่าคิดที่จะท้อแท้
Chalie Munger คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น ขอเพียงแค่ให้ตื่นมาวันพรุ่งนี้ นั้นเราฉลาดขึ้นกว่าวันนี้ (อย่าหยุดที่จะเรียนรู้)

9.คนเราทุกคนมีศักยภาพพอๆกัน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือทัศนคติซึ่งจะเป็นตัวตัดสินระดับของความสำเร็จ

10.แนวทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีหลายแนวทาง ซึ่งคุณอาจจะเลือกแนวทางไหนก็ได้เพียงแต่คุณต้องรู้จริง

Q&A Session และshare ประสบการณ์ส่วนตัว by P’เชาว์ (Investment Biker)
1.ลงทุนยังไงให้ปลอดภัยและได้กำไร
พยายามดูว่า 10 ปีข้างหน้าบริษัทหรืออุตสาหกรรมไหนยังมีกำไรโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจากการกรองบริษัทจาก 600 บริษัทอาจจะเหลือสัก 30 บริษัท แล้วไปดูว่าราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่ากิจการเป็นอย่างไร
และพยายามดู Growth ของกำไรเทียบกับ P/E หลักการคล้ายๆ PEG
มั่นใจในหุ้นจริงๆถึงซื้อ ถ้าไม่มั่นใจก็ผ่าน

2.ช่วงแรกๆของการลงทุนของพี่เชาว์นั้น พยายามอ่านหนังสือของ Buffet, Peter Lynch, อาจารย์นิเวศน์ รวมไปถึงการอ่านหนังสือพวก Wall Street Journal แล้วพยายามนำมา apply ใช้กับกิจการในประเทศไทยอีกที

3.การลงทุนในปัจจุบันนั้นไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน
ช่วงก่อนๆ หุ้นที่มี P/E 7-10 เท่า และมี Growth ของกำไร 15-20% มีมากมายแต่ปัจจุบันนั้นหุ้นส่วนใหญ่มี P/E 10 กว่าเท่าเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่กิจการดีๆหลายบริษัทนั้นอาจจะมี P/E 30-40 เท่า

4.หุ้นนอกสายตา ถ้าคนอื่นมองผิดแต่ถ้าเรามองถูก ก็มีโอกาสได้กำไรเยอะๆ

5.กับดักของนักลงทุนแนว VI
1.)ซื้อหุ้นที่กำไรเติบโต 2-3 ปีแล้วคิดว่ากำไรจะโตต่อเนื่อง ซึ่งจริงๆแล้วพื้นฐานกิจการไม่ได้แข็งแรงพอเวลาผ่านไปกำไรของบริษัทก็ลดลงเรื่อยๆ
2.)ซื้อหุ้นที่กำไรโตแค่ระยะสั้น อย่างหุ้นวัฏจักร อย่างบางบริษัทกำไรต่อหุ้นโตมาตลอดหลายๆปี เพราะราคา commodity ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดูเหมือน P/E ต่ำและเงินปันผลสูง ซึ่งถ้าไปซื้อหุ้นแล้วเป็นช่วงวัฏจักรขาลงก็อาจจะขาดทุนได้

6.วิธีลงทุนที่ดีและปลอดภัย คือซื้อหุ้นก่อนที่จะราคาหุ้นจะขึ้น อย่างเราเจอบางบริษัทราคาหุ้นที่ P/E ประมาณ 20 เท่า ในขณะที่ Growth ของบริษัทมองว่าน่าจะมากกว่า 40 % ต่อปีใน 2-3 ปีข้างหน้า ถ้าไปซื้อหุ้นหลังจากนั้นอีกสักระยะที่ราคาหุ้นเทียบกับ P/E 40-50 เท่า ซึ่งในตอนนั้นราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว 100-200% (ความเสี่ยงที่จะมีโอกาสลงทุนผิดพลาดก็จะสูงขึ้น)

7.วิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือการศึกษาหาข้อมูลหุ้นต่างประเทศ คือการทดลองเดินทางไปที่ต่างประเทศเช่น AEC, Europe, Japan,Asia เพื่อขยายขอบข่ายความรู้ของเรา
โดย Theme การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจก็เช่น
1.)บริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นยารักษาโรคบางอย่าง , สมองกล โดยคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้มีโอกาสที่จะมองเห็นโอกาสได้ไวกว่าคนอื่นๆ
2.)ประเทศที่ตอนนี้เหมือนประเทศไทยเมื่อสัก 20-30 ปีก่อน ซึ่ง Trend ของอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆอาจจะเหมือนประเทศไทยในอดีตเช่น Modern Trade ได้ โดยเราอาจจะเลือกดูบริษัทที่ใหญ่ 20 บริษัทแรกของประเทศนั้นๆ เพราะสภาพคล่องของหุ้นอาจจะมากพอให้ลงทุนได้
3.)บริษัทที่จะได้รับประโยชน์จาก China Consumer Spending (การจับจ่ายใช้สอยของประชากรเมืองจีน) โดยปัจจุบันคนจีนมีเงินเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริษัทที่มีสินค้าที่คนจีนให้ความสนใจหรือนิยมในสินค้าก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลให้กิจการมีกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นกิจการขนม, เครื่องสำอาง,ถุงยางอนามัยของบริษัทในญี่ปุ่น
วิธีการหนึ่งในการดูว่าสินค้าไหนเป็นที่นิยมของคนจีนก็คืออาจจะไปตรวจสอบจาก web Taobao ของ Alibaba เป็นต้น

8.Dhando Investment
ลองดูบริษัทที่อาจจะ P/E ไม่สูงนัก เช่น 20 เท่า มีปันผลนิดหน่อย แต่มีศักยภาพที่ยอดขายอาจจะโตเป็น 10-50 เท่าในอนาคตและกำไรของบริษัทก็โต 10-50 เท่าตาม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นซื้อแล้วถือหุ้นไปเรื่อยๆอาจจะได้กำไรเกิน 10 เด้ง แต่ถ้ากำไรไม่โตอย่างที่คาดก็อาจจะขาดทุนนิดหน่อยเช่น 20-30%
(ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน ถ้าคิดถูกก็เป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต แต่ถ้าผิดทางก็ขาดทุนไม่เยอะ) ซึ่งหุ้นลักษณะนี้อาจจะโผล่มาไม่บ่อยนักเช่น 2 ปีถึงอาจจะเจอสักตัวหนึ่ง)

9.Portfolio Management เลือกถือหุ้นสัก 5 บริษัท โดยที่ monitor หุ้นสัก 30 บริษัท

10.รูปแบบการลงทุนหนึ่งที่ใช้คือ บริษัทที่สินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าใจง่าย เป็นของที่ผู้บริโภคใช้อยู่เรื่อยๆ, หนี้ของบริษัทไม่ค่อยมี , มี Cash flow ของกิจการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

สัมมนา #4 เมพชมพูสอนคุ้ยหุ้น

  1. คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพา ไปหาผล

1 ปี ที่ลองผิดลองถูก
4 ปี ที่เรียนฟันดาบ
5 ปี ในสนามรบ
และถ้าเราอยู่รอดเราคือ ” ยอดขุนพล ”

2.หุ้นหรือบริษัทที่มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นนั้นอาจจำเป็นต้องมี Story หรือ Catalyst
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งกองทุน XXX , ปันผลพิเศษ , มีพันธมิตรใหม่ , มีคนจะ Take Over กิจการ , ขยายกำลังการผลิต, งบดี เป็นต้น

3.ตัวอย่างระบบการลงทุนหรือวิธีการลงทุนที่เลือกใช้
1.)Canslim (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ How to make money in stocks Canslim คัดหุ้นชั้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม)
2.)Phillip A Fisher (สามารถอ่านรายละเอียดได้จากหนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ Common Stocks and Uncommon Profits)
โดยจะ List หัวข้อเพื่อดูคุณภาพของกิจการ เช่น สินค้า/บริการที่มีศักยภาพ, พัฒนาสินค้า/กระบวนการผลิตต่อเนื่อง,ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนา,ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผย แล้วพยายามที่จะให้คะแนนออกมาเป็นตัวเลขในแต่ละหัวข้อเพื่อที่จะเลือกกิจการที่มีคุณภาพสูง

4.ข้อคิดที่ฝากไว้
1.) อย่าเชื่อเพียงเพราะเขาพูดจาดี น่าเชื่อถือ มีหลักการ หรือตรงกับความคิดเห็นของ เรา แต่ให้รับฟังสิ่งทีเขาพูด เอาไปคิดวิเคราะห์ แยกแยะ และตรวจสอบ เพื่อใช้ใน การพัฒนา และแบ่งแยกคนที่เป็นเพชร ออกจากคนที่เป็นกากเพชร
คนที่เป็นเพชรสิ่งที่เขาพูด แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ให้เราฟัง เมื่อเวลาผ่านไป มันก็เป็นไปตามที่เขาพูด (ไม่ได้เกี่ยวกับว่าราคาของหุ้น) อยากรู้ก็ไปเปิดอ่านย้อนๆประวัติดูไม่น่าจะยาก
2.)มีเพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยน มุมมอง ได้ฟังแนวคิด มันทําให้เราพัฒนา เพียงแต่เราต้องหาให้เจอว่าเป็นใครที่ลงทุนหุ้นสไตล์เดียวกับเรา สนใจอะไร แบบเดียวกัน หรือถ้าต่างสไตล์กันเราก็จะได้เรียนรู้แต่ต้องเป็นคนที่พร้อมเปิดรับ
3.)อย่าหลอกตัวเอง ซื้อด้วยเหตุผลใด ก็จงขายด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน
4.)คนเราผิดพลาดได้ คิดผิดขาดทุนได้ แต่อย่าท้อถอย และอย่าทําผิดอะไรที่มันซ้ำซาก ถ้าลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะพิจารณาเปลี่ยนแนวทางลงทุน โดยพยายามปรับอารมณ์ก่อน และที่สำคัญคือหาความรู้ก่อนลงทุน และหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง

ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ

ขอขอบคุณพี่ Chaiyut เจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่ Chaiyut, พี่ Ake Thamrong, พี่ Sai, พี่เชาว์, พี่แชมป์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆมาโดยตลอด
ขอขอบคุณมิตรภาพดีๆสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน VI Chonburi ทุกท่าน

รวมไปถึงขอใช้โอกาสนี้ในการขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นๆ เช่นท่านอาจารย์นิเวศน์,ท่านอาจารย์ไพบูลย์, พี่โจลูกอีสาน, พี่ Web,พี่ Chatchai,พี่ IH,พี่คนขายของ,ลุงขวด,พี่วิบูลย์,พี่มนตรี, N’Hongvalue, พี่ Suwits, พี่หมอ Pongsak, พี่หมอ crazyrisk, พี่สุมาอี้, พี่ chinn, พี่ Notelio, พี่ Linzhi,พี่ Mario,พี่ yoyo, พี่ตี่ picatos, พี่ reiter, พี่ miracle, พี่ takky, พี่ vichit, พี่ worapong, พี่ Paul VI, พี่หมอบำรุง, พี่ ronnapum, พี่ picklife ,พี่ theenuch ,พี่ supparoj, พี่พีรนาถ, พี่ kabu, พี่แชน 1154 รวมไปถึงพี่ๆเพื่อนๆอีกหลายๆท่านที่ผมอาจจะกล่าวนามได้ไม่หมดที่ช่วยแนะนำการลงทุนให้ผมและเพื่อนๆมาโดยตลอด
ที่ผมมีความรู้ในด้านการลงทุนมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะทุกท่านที่เมตตาให้คำแนะนำและช่วยชี้แนะผมมาโดยตลอด ขอขอบคุณทุกๆท่านจากใจจริงครับ และขอให้พี่ๆเพื่อนๆรวมไปถึงครอบครัวของทุกๆท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ

สุดท้ายนี้ ขอรำลึกถึงน้องเจ jayrelax 1 ในสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ VI Chonburi ที่เสียชีวิตในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เจ ยังอยู่ในใจพี่และเพื่อนๆสมาชิก VI Chonburi เสมอมาครับ

earthcu /4 Jun 16

ขอบคุณมากครับ รู้สึกว่าจะสรุปได้ดีกว่าที่ผมพูดเสียอีก

เรื่องกับดัก vi ที่มีน้องคนนึงถาม ตอนตอบผมคงพูดไม่ค่อยครบ ขอสรุปกับดักที่มักทำให้วีไอขาดทุนมากๆ ดังนี้

1 หุ้นที่เติบโตระยะสั้นอาจจะ 2-3 ปี แต่บริษัทไม่ได้มี DCA/Moats ทั้งนี้อาจเกิดจากการได้ประโยชน์จากปัจจัยภายนอกบางอย่างที่ทำให้รายได้และกำไรดูดีแค่ชั่วคราว คนที่ซื้อตอนหุ้นขึ้นไปมากแล้วเพราะคิดว่าจะโดต่อเนื่อง อาจจะเจ็บหนัก

2 หุ้น cyclical ที่ทำเนียนเป็นหุ้น growth รายได้ กำไร อาจโตติดต่อกันหลายปีจากขาขึ้นของวัฏจักร ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหุ้น growth หากซื้อเข้าไปตรงยอดวัฏจักร อาจขาดทุนเกิน 50% ได้อย่างรวดเร็ว

3 หุ้นที่วาดฝันสวยหรู เปลียนธุรกิจ มีนวัตกรรม มีความสามารถพิเศษ มี backlogs อยู่ใน megatrends ตอนนี้ยังขาดทุน แต่อนาคตจะกำไรมหาศาล ส่วนใหญ่เป็นแค่แมงโม้ หลอกแดกตังค์นักลงทุน เขียนแผนธุรกิจมันง่าย ทำให้เกิดได้จริงๆ เป็นแค่ส่วนน้อย ธุรกิจแบบ Uber ที่เป็น Unicorn จริงๆ มีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเป็นฝูงลาที่แสร้งทำตัวเป็น Unicorn

4 ธุรกิจที่เราไม่เข้าใจอย่างแท้จริง บางทีกิจการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขรายได้ กำไร ดูดีมาตลอด ราคาไม่แพง PE ต่ำแต่ growth สูง เห็นแล้วต้องตีแตก แต่แล้วราคาหุ้นกลับลดลง สวนทางกับผลประกอบการที่ดีขึ้น เราอาจจะถัวซื้อเพิ่ม แต่แล้วถูกแล้ว กลับมีถูกกว่า นี่คืออัลไล
เฉลยมาตอนหลังครับ หลังจากราคาลงมาจนขายไม่ลง ถึงทราบว่างบการเงินโดนแต่งมาตลอดทาง ตัวเลขทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่กล้า cut loss ก็เหลือศูนย์ เพราะบริษัทพวกนี้จะโดนออกจากตลาด นักลงทุนได้แค่กระดาษไว้ดูต่างหน้า

การลงทุนมีความเสี่ยง ลงทุนแบบง่ายๆ ดีที่สุดครับ เล่นท่ายาก มักจะเจ็บตัว


In search of super stocks

25 ข้อคิดที่ชอบจากหนังสือ ความลับของความสุข( Secrets Of Happiness)

25 ข้อคิดที่ชอบ
จากหนังสือ ความลับของความสุข
( Secrets Of Happiness)

  1. ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน
    เพราะคำพูดของใครบางคน
    แต่คำพูดที่มีพลัง
    ทำให้เราอยากเปลี่ยน “พฤติกรรม”
    จากนั้นเองชีวิตจึงค่อยๆเปลี่ยนแปลง
  2. เมื่อไม่ยึดติดว่า “ ฉันเป็นแบบนี้”
    เราจะพบตัวเองในเวอร์ชั่นอื่น
  3. คนบนโลกนี้ไม่เหมือนกัน
    เราก็มีวิถีเรา เขาก็มีวิถีเขา
    กระนั้น เราเองก็มีสิทธิ์เลือกและ
    เดินไปตามทางที่เราคิดฝันตั้งใจ
    แล้วเรียนรู้จากเส้นทางนั้น
  4. เพราะในชีวิตมีสิ่งล่อใจมากมาย
    เงิน ตำแหน่ง อำนาจ ชื่อเสียง
    บางทีก็ยั่วยวน แต่คำถามคือ
    “ เราอยากได้มันไหม”
  5. เราทำอะไรได้ดีไม่มากนักหรอก
    แต่เราก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากนักเช่นกัน
    บางครั้งเราเพียงหลงคิดว่าเราทำได้เยอะ
    และหลงอยากได้มากกว่า
    ที่ต้องการและจำเป็น ชีวิตจึงสับสน
  6. ความสม่ำเสมอคือ
    พื้นฐานของความสำเร็จในระยะยาว
    ในตอนเริ่มต้นนั้นมีคนออกสตาร์ทพร้อมเราจำนวนมาก
    นักฝันมีมากนักลงมือทำมีน้อย
    แต่น้อยกว่านั้นคือคนที่ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
  7. จิตของผู้เริ่มต้น จิตไม่รู้
    เป็นเรื่องเดียวกับจิตที่ไม่มีอัตตา เมื่อไม่มีอัตตา
    จึงเปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้กับทุกคนและทุกสิ่ง
  8. “ชนกำแพงจึงเห็นกำแพง”
    เมื่อใช้ชีวิตและทำงานไปถึงจุดหนึ่งเรามักชน
    กำแพงบางอย่าง อาจเป็นความรู้สึกตัน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่ค่อยออก ดังนั้น ช่วงที่ชนกำแพงเป็นช่วยเวลาแห่งการขยายขอบให้กว้างกว่าเดิม
  9. การได้รู้เรื่องราวของ “คนยังไม่สำเร็จ” บ้างเป็นการเติมพลังที่ดี เพราะเราก็กำลัง
    อยู่ในระหว่างทางเช่นกัน บ่อยครั้ง
    เรื่องราวเหล่านี้ช่วยฉุดเราออกจากฟองสบู่งงๆ
    ที่คนตั้งชื่อว่า “ความสำเร็จ” ให้กลับมา
    อยู่กับชีวิตจริงที่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ
    ไม่ต้องมีมาก แต่มีบ้างก็น่าดีใจแล้ว
    ไม่ต้องไปให้ถึงยอด เดินไปเรื่อยๆ เดินให้สนุก เหนื่อยบ้างก็ได้ แค่ให้รู้ว่าทางเดินที่เดินอยู่มันโอเค “เราก็แค่ตั้งใจเดินบนทางของเรา”
  10. เริ่มต้นเล็กๆ ต้นทุนต่ำ ลงไปเล่น
    ในสนามที่แพ้ได้ดูก่อน
    สิ่งที่ได้ติดมือมาด้วยคือ “วิชา” จากการล้ม
    นอกจากล้มให้เร็ว ล้มให้ราคาถูกแล้ว
    ทุกครั้งที่ล้ม….ขอให้ล้มไปข้างหน้าเสมอ
  11. ถ้าบอกกับตัวเองตอนอายุ 18
    ได้จะบอกอะไรกับตัวเอง
    • จะบอกว่าอย่าซีเรียสกับชีวิต
      เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทดลอง
    • ชีวิตไม่มีคำตอบสำเร็จรูป
    • ชีวิตคือการเดินดุ่มไปในความไม่สมบูรณ์แบบ
    • สนุกกับการออกนอกเส้นทางที่ตัวเองขีดไว้
    • อย่าเอาไม่บรรทัดของคนอื่นมาวางทาบชีวิตเรา
      และสุดท้าย จงวางใจว่าชีวิตจะพาเราไปสู่จุดที่เราเข้าใจมันมากขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น
  12. เมื่อไม่มีทางที่ผิดหรือถูก เราเพียงเลือกในเวลาที่ต้องเลือก ลุยไปให้ดีที่สุดชีวิตมีพื้นที่กว้างขวาง ไม่ใช่ลู่วิ่งแข่ง เมื่อไม่แข่งกับใคร เราจะสนุก
    และไม่ถูกหลอกด้วยเส้นชัยของการเปรียบเทียบ
  13. ถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้จะแก้ไขอะไร คำถามยอดฮิตที่มันจะหยิบขึ้นมาถามกันเล่นๆและคนส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่แก้ไขอะไร เพราะอดีตทำให้เขากลายเป็นอย่างวันนี้
    นอกจากคำตอบด้านบน อดีตยังมีคุณค่าในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือมันช่วยทำให้อนาคตไม่เป็นเหมือนที่ผ่านมา อดีตทำให้เราผิดน้อยลง ถูกมากขึ้น
    ตัดสินใจได้ดีขึ้น
  14. ถ้าพูดถึง “ค่าตอบแทน”
    จากการทำงาน คนจำนวนมากคงคิดถึง เงิน
    แต่ที่จริงงานแต่ละชิ้นมีค่าตอบแทน
    หน้าตาแตกต่างกัน เช่น ประสบการณ์
    / ความรู้ / ความสัมพันธ์ / คอนเน็กชั่น
    / ความสบายใจ / ความอิ่มเอม
    / ความภูมิใจ / ความสุข
    มี “ค่าตอบแทน” ดีงามที่ไม่ใช่เงินอยู่จริง
    ความคุ้มไม่ใช่สิ่งที่วัดด้วยตัวเลขเสมอไป
  15. ถ้าหาเวลาทำสิ่งใดไม่ได้ ให้สร้างเวลานั้นขึ้นมา ไม่ว่าชีวิตคุณจะยุ่งแค่ไหนถ้าอยากทำสิ่งใดก็ตาม
    จง “สร้างเวลา” สำหรับสิ่งนั้นขึ้นมา แล้วลงมือทำมัน
  16. ทุกเรื่องราวต่อให้ดีแค่ไหนก็ตาม
    สุดท้ายมันต้องสิ้นสุดลง
    ทุกความสำเร็จก็เช่นกัน
  17. ถึงที่สุดแล้ว การถอยออกมามองด้วยมุมมองที่กว้างและไกลขึ้นคือการให้โอกาสตัวเองมองสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่ “สมจริง” เช่นกันกับเลนส์กล้อง
    หากเอาเลนส์มาโครส่องความทุกข์
    มันก็จะขยายใหญ่เหมือนมดตัวจิ๋วที่กลายเป็นยักษ์ แต่ถ้าเปลี่ยนเป้นเลนส์ไวด์มดตัวนั้นจะกลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่ใหญ่โตกว่านั้นอีกมาก
  18. เราคาดหวังสิ่งใดจากการทำงาน แน่นอนเพื่อความอยู่รอด ต้องการรายได้ แต่มากกว่านั้น
    เราต้องการเติบโตผ่านงานที่ทำ มองในแง่นี้
    “การทำงานคือ หนทางสู่การเป็นคนที่
    สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ”
  19. จานที่ล้างง่ายที่สุดคือจานที่เพิ่งกินเสร็จ ห้องที่จัดง่ายที่สุดคือห้องที่จัดทุกวันในชีวิตง่ายเมื่อจัดการแต่เนิ่นๆ ยากและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพอกหางหมู
    แต่บางอย่างกับตรงข้าม ทุเรียนปลูกหลายปีกว่า
    จะออกผล ความลับชีวิตต้องเรียนรู้หลายปี
    บางอย่างก็เร่งไม่ได้ มีเวลาเหมาะสมของมัน
  20. การงานคือความหมายของชีวิต
    การพักคือความสุขของชีวิต
    ในมุมหนึ่งชีวิตต้องการความหมาย
    ในอีกมุมชีวิตต้องการความสุข
  21. บางโอกาสของชีวิตต้องรีบ
    และบ่อยมากที่ต้องรอ
    หยุดสักนิด รอสักหน่อยจะตอบสนองได้ดีกว่า
  22. เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์เรามักคิดว่าต้อง
    “ทำอะไรบ้างจึงสร้างสัมพันธ์ที่ดี”
    แต่ในอีกมุมซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน
    เราต้องรู้ด้วยว่าต้อง “ไม่ทำ” อะไรบ้าง
    จึงเกิดระยะห่างที่สบายใจ
  23. ชีวิตที่น่าปรารถนาอาจเป็นชีวิต
    ที่ทนได้กับสิ่งที่ไม่อยากได้
    เพราะโชคชะตามักโยนสิ่งที่
    ไม่อยากได้มาให้เราเสมอ
  24. เมื่อจะก้าวไปข้างหน้าเรา
    มักเห็นว่า “ได้รับ” อะไรเพิ่มขึ้น
    แต่ไม่ค่อยเห็นว่าต้อง “จ่าย” อะไรไปบ้าง
    ระหว่างทางที่จะขึ้นสูงไปอีก วิวยอดเขา
    ไม่จำเป็นต้องสวยกว่าเนินเขา
  25. เมื่อเดินทางมาถึงวันหนึ่ง
    เราอาจพบว่าเกณฑ์วัดต่างๆ เพียงเกิดขึ้น
    ในสนามหนึ่ง ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อก้าวเท้าออกนอกสนาม ชีวิตกว้างขวางเหลือเกินเปิดโอกาส
    ให้สนุกกับสิ่งที่สนใจ ลดทอนความจริงจัง
    “ซึ่งมันก็ควรถูกเรียกว่าชีวิตเช่นกัน”

Roundfinger

วิธีบอกลาความกังวลของเดล คาร์เนกี

วิธีบอกลาความกังวลของเดล คาร์เนกี
.
เดล คาร์เนกี้ นักจิตวิทยาและนักเขียนชื่อดังมักกล่าวเสมอว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ “ความคิด” เพราะความคิดมักปรุงแต่งไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเราควบคุมความคิดได้ เราก็จะได้รับทุกสิ่งที่เราต้องการ
.
อีกประการหนึ่งคาร์เนกีเชื่อว่า สาเหตุที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุข เพราะผู้คนไม่รู้วิธีควบคุมความคิดตัวเอง และนี้คือ 6 วิธีสร้างสุขของคาร์เนกี ที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ “จุดเเข็งของมนุษย์” ไว้ดังนี้คือ
.
1.จงทำตัวให้วุ่นวายจะได้ไม่ต้องมีเวลามากังวลกับความทุกข์
.

  1. อย่าเสียเวลาไปกังวลกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ มากเกินไป จึงทำให้เรามองไม่เห็นความสุขที่ควรมี
    .
  2. ประเมินสถานการณ์ดูว่าความกังวลเป็นผลดีกับเรามากแค่ไหน เพราะความกังวลส่วนมากไม่ได้เกิดจากความจริง แต่ล้วนเกิดจากเราเป็นผู้จินตนาการเอง
    .
  3. ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมันเป็นทางให้เรารอดพ้นจากความกังวล
    .
  4. กำหนดขีดจำกัดของเราว่าควรมีความกังวลเเค่นั้น ด้วยการตั้งคำถามดังนี้ มันเกี่ยวกับฉันไหม, ฉันจะลืมมันได้อย่างไร, เรื่องที่กังวลมีคุณค่ากับฉันมากแค่ไหน
    .
  5. อย่าเสียเวลาไปกังวลกับเรื่องผิดพลาดในอดีต เพราะเราไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขมันได้อีกแล้ว
    .
    กุญแจที่สำคัญ คือเราควรทำสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก่อน อย่าพึงไปกังวลกับสิ่งที่ยังไม่แน่นอนหรือยังมาไม่ถึง เพราะชีวิตของเรานั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับความกังวลที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรขยันเป็นทุกข์ให้มากเลยดีกว่า

นักคิดคำ #NAKKHIDKHOM #ความกังวล #ความคิด #เดลคาร์เนกี #จุดแข็งของมนุษย์

ฉบับที่ 204 ค้างค่าส่วนกลางห้องชุดเจ้าของห้องต้องระวัง

ครั้งนี้ก็มีเรื่องกฎหมายสำคัญใกล้ตัวผู้บริโภคที่จะเอามาแบ่งปันอีกเช่นเคย  แต่จะขอเน้นไปที่เรื่องของผู้อยู่อาศัยในแนวดิ่งหรือ คอนโดมิเนียม ที่เมื่อเราเข้าอยู่แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมามากมาย หนึ่งในนั้นคือ ค่าส่วนกลาง ที่แน่นอนว่าเจ้าของห้องชุดทุกคนต้องจ่าย  แต่ก็พบว่าในหลายที่ นิติบุคคลอาคารชุดแทนที่จะไปฟ้องร้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อเรียกค่าส่วนกลางจากเจ้าของห้อง กลับไปออกระเบียบข้อบังคับบีบให้ลูกบ้านอื่นๆ เสียสิทธิในการใช้ที่อยู่อาศัยตามปกติ เช่นนี้ ศาลเคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินไว้แล้ว ว่าทำไม่ได้ อย่างเช่น การออกระเบียบข้อบังคับที่จะไม่ส่งมอบบัตรผ่านประตูนิรภัยให้แก่เจ้าของห้องชุด ซึ่งค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เช่นนี้ถือว่าไปจำกัดสิทธิในการใช้สอยทรัพย์บุคคลเป็นการทำผิดกฎหมาย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8512/2553

โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุด ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 4 โจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 แม้นิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดพิพาทและการออกระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 อันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของร่วมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของอาคารชุดตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ข้อ 7 (1) (5) แต่ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 33 วรรคสอง จำเลยที่ 1 มีสิทธิเพียงจัดการและดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางและมีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อประโยชน์ตามมติของเจ้าของร่วมเท่านั้น ไม่มีอำนาจกระทำการใดเป็นการรบกวนสิทธิหรือเสื่อมความสะดวกในการใช้ทรัพย์ส่วนบุคคลของเจ้าของร่วม 

แม้โจทก์ค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางต่อจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเป็นอีกคดีต่างหาก มิใช่ออกระเบียบเพื่อบังคับโจทก์ให้ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่จำเลยที่ 1 กำหนดโดยหลีกเลี่ยงการที่จะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมาย การออกระเบียบข้อบังคับที่จะไม่ส่งมอบบัตรผ่านประตูนิรภัยให้แก่โจทก์ซึ่งค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางอันทำให้โจทก์เสื่อมเสียสิทธิในการใช้สอยทรัพย์ส่วนบุคคล จึงไม่สามารถบังคับเอาแก่โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 1 ทำประตูนิรภัยปิดกั้นและไม่ยอมมอบบัตรผ่านประตูนิรภัย จึงเป็นการรบกวนสิทธิและทำให้เสื่อมความสะดวกแห่งสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าของร่วมในอันที่จะเข้าไปใช้ทรัพย์ส่วนบุคคล ถือว่าเป็นการจงใจทำละเมิดต่อโจทก์

อีกตัวอย่าง เป็นเรื่องการงดจ่ายน้ำประปา แม้การจ่ายน้ำประปานั้นจะต้องใช้อุปกรณ์บางส่วนที่เป็นทรัพย์ส่วนกลางก็ตาม นิติบุคคลก็ไม่สามารถทำได้ หากทำเป็นการละเมิด นอกจากนี้ ศาลก็มีการกล่าวเตือนถึงเจ้าของห้องชุดเช่นกัน กรณีนิติบุคคลไม่เอาเงินที่จ่ายไปดูแลทรัพย์ส่วนกลาง ไปหาประโยชน์มิชอบอื่น เจ้าของห้องชุดเองก็ไม่มีสิทธิที่จะไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ต้องไปว่ากล่าวดำเนินคดีต่างหาก ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10230/2553

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10230/2553

ค่าใช้จ่ายส่วนกลางนั้น เป็นหนี้ที่เกิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 18 ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำสัญญาระหว่างกัน และเป็นหนี้เงิน ซึ่งตาม ป.วิ.พ.ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การบังคับชำระหนี้โดยการใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้พิจารณาพิพากษาบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ และตามพ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 ก็ไม่ได้บัญญัติให้จำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้โดยวิธีอื่นหรือโดยพลการ นอกจากนี้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของห้องชุดย่อมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนบุคคลของตนในอาคารชุด และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลางด้วย ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง จึงมีสิทธิใช้สอยทรัพย์ส่วนกลางที่มีกรรมสิทธิ์ร่วมนั้นด้วย ย่อมไม่ชอบที่จำเลยที่ 1 จะใช้วิธีการขัดขวางการใช้ทรัพย์สินส่วนกลางของโจทก์เพื่อเป็นมาตรการบังคับให้โจทก์ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง อันเป็นการละเมิดต่อสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์โดยพลการ

โจทก์ไม่ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางเพราะจำเลยที่ 1 นำเงินไปใช้จ่ายโดยพลการ โจทก์ก็ต้องว่ากล่าวดำเนินคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 เพื่อไม่ให้กระทำเช่นนั้นหรือให้ชำระค่าเสียหาย ไม่เป็นเหตุโดยชอบที่โจทก์จะอ้างขึ้นเพื่อไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในการชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง

เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร – 11 เหตุผลในการใช้ชีวิตของคุณ

เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร – 11 เหตุผลในการใช้ชีวิตของคุณ
Written by Tiger Rattana in Uncategorized

เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และเหตุผลในการใช้ชีวิตมีอะไรบ้าง สองอย่างนี้ล้วนเป็นคำถามที่หลายคนเคยคิดกันในชีวิต แน่นอนว่าหากเราถามคน 100 คน คำตอบที่เราได้ก็คงมี 100 อย่าง แต่ละคนมีเป้าหมาย มีสิ่งที่ชอบ ไม่เหมือนกัน ก็เลยทำให้เหตุผลการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน

ปัญหาที่ใหญ่กว่าการหาเหตุผลการใช้ชีวิตของ ‘มนุษยชาติ’ ก็คือการหาคำตอบของ ‘เหตุผลการใช้ชีวิตของตัวคุณ’ หากเราตอบคำถามนี้ไม่ได้ ชีวิตเราก็คงรู้สึกว่างเปล่า ท้อ และไม่มีความสุข

ในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงกรณีศึกษาว่า คนส่วนมากมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร มีเหตุผลในการใช้ชีวิตยังไงบ้าง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘คุณจะหาเหตุผลในการใช้ชีวิตของตัวเอง’ ได้ยังไง หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนนะครับ

Table of Contents
เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
11 เหตุผลในการใช้ชีวิต สำหรับคุณ
o การหาความสุข
o การลดความทุกข์
o หาเป้าหมาย
o การทิ้งมรดก
สุดท้ายนี้ เกี่ยวกับเหตุผลการใช้ชีวิต
เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
เหตุผลในการใช้ชีวิตมีอยู่หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับมุมมอง ความชอบ และประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน โดยเหตุผลในการใช้ชีวิตของคนส่วนมากสามารถแบ่งออกมาได้สี่มุมมอง ก็คือ การหาความสุข ก้าวผ่านความทุกข์ หาเป้าหมาย และ การทิ้งมรดกให้คนอื่น

สิ่งแรกที่ทุกคนต้องเข้าใจก็คือ มนุษย์แต่ละคนมีมุมมองชีวิตไม่เหมือนกัน ทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้ชีวิตมีอยู่มากมาย ซึ่งก็คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าวิธีคิดแบบไหนดีกว่า หรือมีค่ามากกว่าวิธีคิดของคนอื่น ข้อดีก็คือ ผมเรียบเรียง ‘ตัวเลือก’ ไว้ให้คุณเยอะ นำไปอ่านแล้วพิจารณาเองได้เลยว่าแบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณ

นอกจากนั้น หากคุณเป็นคนที่กำลังเหนื่อยกับชีวิต รู้สึกไม่มีความสุข ไม่ค่อยมีเป้าหมาย สิ่งแรกที่คุณต้องดูแลก่อนก็คือ ‘ร่างกายตัวเอง’ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายที่ได้ระบุไว้ว่า ‘ความสุข’ ส่วนหนึ่งมาจากสุขภาพร่างกายที่ดี เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะเหนื่อยน้อยกว่า ผลิตฮอร์โมนแห่งความสุขได้มากกว่า

เพราะฉะนั้น ก่อนที่คุณจะเรียนเกี่ยวกับเหตุผลในการใช้ชีวิต ให้เริ่มออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบห้าหมู่ นอนหลับให้พอดี หากร่างกายไม่พร้อม คำตอบก็ไม่มาหาคุณครับ (ไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไร ถือว่ายอมโดนคนไม่รู้จักหลอกให้ออกกำลังกายซักสามสี่วัน ชีวิตไม่แย่ลงหรอก)

…แต่ถ้าคุณพร้อมแล้ว เราไปดู 11 เหตุผลในการใช้ชีวิต สำหรับคุณกันเลย

11 เหตุผลในการใช้ชีวิต สำหรับคุณ
การหาความสุข
ความสุขกับการใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันในสายตาคนทั่วไป ข้อดีก็คือหากเรามีความสุขเราก็จะรู้สึกดี การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่อะไรใช่ไหมครับ ข้อเสียคือความสุขมีนิยามหลากหลาย ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขของคนอื่น ทำให้การแปล ‘ความสุข’ (ที่เป็นนามธรรม) ให้ออกมาเป็นภาพลักษณ์ที่จับต้องได้ (รูปธรรม) นั้นทำได้ยาก

ปัญหาของคนส่วนมากก็คือ ‘ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร’ หากเราทำสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เรามีความสุข แต่เรากลับไม่มีความสุข นั้นก็เพราะว่าคุณโดนตัวเองหลอก หรือเข้าใจตัวเองผิดไปเอง ในเรื่องของการนิยามความสุข ผมแนะนำให้ทุกคนอ่านบทความของผมเรื่อง ความสุขคืออะไร และ ego คืออะไร นะครับ

เหตุผล #1 – เป้าหมายชีวิตคือการมีความสุข
ผมคิดว่าหลายคนมีมุมมองความคิดแบบนี้ คนเรามีเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นก็ควรมีความสุขเข้าไว้ สิ่งที่หลายคนค้นพบในชีวิตก็คือ ‘ความสุขขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิต’ หากเรามองโลกในแง่ดี เลือกที่จะมองแต่สิ่งดีๆ ต่อให้เรามีปัญหาเราก็มีความสุขได้

สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ มุมมอง ไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้มาภายในวันสองวัน เราต้องฝึกปรับมุมมองตัวเอง บางคนก็ใช้เวลาเป็นปี นอกจากนั้นแล้วต่อให้เราปรับได้ โอกาสที่มุมมองเราจะ ‘หลุด’ เวลาชีวิตมีปัญหา ก็มีเยอะ เปรียบได้กับการออกกำลังกาย หากเลิกทำเมื่อไรเราก็กลับมาอ้วนใหม่

จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก โดยรวมแล้ว จะฝึกมองโลกในแง่ดีไว้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

เหตุผล #2 – ชีวิตคือมอบความสุข
ในขณะที่บางคนคิดว่าชีวิตคือการเก็บเกี่ยวความสุข หลายคนก็พบสัจธรรมชีวิตว่า ‘การให้’ ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นการทำเพื่อครอบครัว เพื่อคนรัก หรือเพื่อคนที่เราไม่รู้จักเลยก็ตาม

คนเป็นแม่ ต่อให้ต้องอดข้าว แต่ถ้าเห็นลูกกินอย่างมีความสุขก็รู้สึกดีแล้ว บางคนก็ค้นพบว่าการให้ทำให้ ‘เข้าใจคุณค่า’ ของตัวเองมากขึ้น เราคงไม่เข้าใจข้อดีของโอกาสและสิ่งของที่เรามี จนกว่าจะเห็นคนที่ต้องการสิ่งนี้มากกว่าเรา

ความพิเศษของการให้ก็คือเราสามารถทำได้อย่างไม่มีจำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะเปิดใจเพื่อช่วยเหลือคนอื่นมากแค่ไหน

เหตุผล #3 – เป้าหมายชีวิตคือการได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ
สำหรับหลายคน ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับมุมมอง แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำ เช่นได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ ได้กินของอร่อย หรือได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ

ความสุขแบบนี้เป็นความสุขกับการผูกมัดกับสิ่งที่มีรูปธรรม สามารถทำให้จับต้องได้ง่ายมากกว่า แต่ก็จะทำให้เราผิดหวังได้ง่ายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ‘การทำงาน’ ต่อให้เราได้งานที่เราชอบ มีเงินเดือนมากพอใช้จ่าย แต่สุดท้ายแล้วพอผ่านไป 5ปี 10ปี ความเบื่อ ความไม่พึงพอใจ ก็จะตามเรามาได้เสมอ

ผมไม่ได้บอกว่าความสุขแบบนี้ไม่ดี เพียงแต่คุณควรที่จะมีความสุขแบบนี้ ‘ควบคู่’ ไปกับความสุขอย่างอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาคุณท้อ คุณก็จะท้อหนักเลย

การลดความทุกข์
หากเรามองว่าความสุขคือเหตุผลในการใช้ชีวิต สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสุขก็คงมีความเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลี่ยงได้ ชีวิตบางคนก็ทุกข์มากกว่าคนอื่น และถึงแม้ว่าคงไม่มีใครที่อยากจะทุกข์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะหาประโยชน์จากความทุกข์ไม่ได้เลย

เหตุผล #4 – การลดหรือกำจัดความทุกข์
หลายคนคิดว่าชีวิตน่าจะมีค่ามากกว่านี้หากเราไม่มีความทุกข์ ซึ่งก็มีความจริงในระดับหนึ่ง หากชีวิตเรามีปัญหา หากรอบตัวเรามีปัญหา โอกาสที่เราจะมีความสุขก็คงมีน้อยลง

แต่การที่คุณจะหาเหตุผลในการใช้ชีวิตจากความทุกข์ คุณก็ต้องวาดเส้นให้ได้ว่าอยู่ที่จุดไหนคุณถึงจะพอใจ หากคุณตอบตัวเองตรงนี้ไม่ได้ ต่อให้ชีวิตดีขึ้น มีเงินมากขึ้น ได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากขึ้น ความทุกข์ของคุณก็จะเท่าเดิม

หนึ่งก็คือเราต้องเข้าใจว่า ความไม่พอใจในตัวเองและความทุกข์คือเครื่องมือที่มนุษย์มีไว้เพื่อผลักดันตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ที่พอใจในตัวเองก็จะไม่พัฒนา และสิ่งมีชีวิตที่ไม่พัฒนาก็จะสูญพันธุ์ เป็นกลไกตามธรรมชาติ ในกรณีนี้หากจิตใจคุณกำลังทุกข์อยู่ คุณก็ต้องหาทางแก้ไข แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ความทุกข์นั้นหยุดตัวคุณ

และสองก็คือความทุกข์ไม่มีทางหมดไปได้ คุณอาจจะทำให้ความทุกข์น้อยลงได้ แต่สำหรับบางคนถูกยุงกัด นอนตกหมอน ก็เป็นความเจ็บปวดที่เป็นความทุกข์เช่นกัน ในส่วนนี้ก็ให้หาวิธีแก้ไขลดความทุกข์ตามความเหมาะสมของตัวเองนะครับ

เหตุผล #5 – สร้างค่าให้ความทุกข์
เป็นมุมมองของคนที่สู้ชีวิต หลายคนมองว่าอุปสรรคหรือความทุกข์ก็คือความท้าทาย เป็นสิ่งที่เราสามารถก้าวผ่านเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

คนกลุ่มนี้มองว่าหากความทุกข์เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เราก็คงจำเป็นต้องหาประโยชน์จากความทุกข์ให้มากที่สุด เพราะเรามีเวลาที่จำกัด ชีวิตก็มีชีวิตเดียว จะให้ใช้เวลาอยู่กับความทุกข์นานโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยก็คงไม่ดี เหมือนการเรียนเต้นรำกลางสายฝน

ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมองชีวิตแบบนี้ได้ และบางครั้งคนที่มองชีวิตแบบนี้ก็ ‘หลุด’ กลับมาท้อชีวิตได้เช่นกัน ผมคิดว่าเหตุผลนี้ควรจะใช้ควบคู่กับคำตอบอื่นๆในบทความด้วย เพื่อที่เราจะไม่ต้องกดดันตัวเองมากไป

ผมแนะนำให้อ่านบทความเรื่อง แนวคิดสโตอิก ที่จะพูดถึงปรัชญาของกลุ่มคนที่นำความทุกข์มาเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น นับว่าน่าสนใจเลยทีเดียว

หาเป้าหมาย
คนบางประเภทอยู่เฉยๆไม่ได้ครับ หากไม่ได้ทำอะไรนานๆก็จะรู้สึกหงุดหงิด จิตใจว้าวุ่น รู้สึกว่างเปล่า คำว่า ‘นานๆ’ นี้สำหรับบางคนก็คือ 1 อาทิตย์ สำหรับบางคนก็คือ 10 ปี จิตใจคนเราก็เหมือนกับร่างกายครับ ถ้าไม่ได้เคลื่อนไหวนานๆร่างกายก็จะรู้สึกช้า หากเราไม่ได้ทำอะไรบ้าง จิตใจเราก็คงรู้สึกว่างเปล่า

เหตุผล #6 – การสร้างความสัมพันธ์
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมทั้งในเชิงสังคมศาสตร์และเชิงวิทยาศาสตร์ หากมนุษย์ไม่ช่วยเหลือกัน ในฐานะสิ่งมีชีวิตเราก็คงไม่สามารถคงอยู่ได้นานถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นแล้ว หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็มีอยู่เยอะ ร่างกายคนเรามีฮอร์โมนแห่งความสุขที่เรียกว่าเซโรโทนินกับออกซิโทซิน (Serotonin & Oxytoxin) ที่จะถูกผลิตเวลาเราได้อยู่กับคนรัก ได้รู้สึกว่าถูกยอมรับในสังคม

‘กำลังใจ’ จากภายนอกเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้จะมีคนส่วนน้อยที่อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว คุณก็ไม่ได้จำเป็นต้องเหมือนคนเหล่านี้ก็ได้ หากคุณมีความสุขที่ได้อยู่กับคนรัก ได้อยู่กับครอบครัว หรือได้อยู่กับเพื่อน บางครั้งคำตอบในชีวิตของคุณอาจจะอยู่ที่ ‘ช่วงเวลา’ เหล่านี้ ซึ่งคุณก็ควรรักษาไว้ให้ดี

เหตุผล #7 – การตอบคำถามชีวิต
ชีวิตเรามีคำถามมากมาย และแน่นอนว่าไม่มีใครชอบการมีคำถามค้างคา ซึ่งคำถามในชีวิตของคนเราก็มีหลายอย่าง เราเกิดมาเพื่ออะไร เราชอบอะไรกันแน่ เราอยากทำอะไร หากคำถามเหล่านี้มีความสำคัญกับเรา ถ้าเราตอบไม่ได้เราก็คงรู้สึกหงุดหงิด

‘ความอยากรู้’ เป็นบุคลิกอย่างหนึ่งของมนุษย์ หากเราไม่ตั้งคำถามเราก็ไม่มีคำตอบ การตั้งคำถามและหาคำตอบคือสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์และนักธุรกิจทั้งหลายสามารถเปลี่ยนโลกได้

เพราะฉะนั้น หากเหตุผลในการใช้ชีวิตของคุณมาจากคำถามอะไรก็ได้ คุณก็สามารถเริ่มจากการตอบคำถามเหล่านี้ ซึ่งวิธีหาคำตอบก็มีมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การออกไปเจออะไรใหม่ๆ การคุยกับคนที่คิดต่าง หรือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตัวเอง

จำไว้ว่าหากเป็นคำถามที่สำคัญจริงๆ ต่อให้คุณต้องใช้เวลาทั้งชีวิต มันก็คุ้มที่จะหาคำตอบ

เหตุผล #8 – การถูกเติมเต็ม
ในหลักจิตวิทยา เป้าหมายของมนุษย์ก็คือการถูกเติมเต็ม บางครั้งเราก็อาจเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความสบายใจ’ หรือบางคนก็อาจเรียกว่าสิ่งที่ตรงข้ามกับ ‘ความรู้สึกว่างเปล่า’

การอธิบายว่า ‘ความรู้สึกถูกเติมเต็ม’ คืออะไรหรือทำได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่ว่างเปล่า การให้อธิบายความรู้สึกเติมเต็มก็คงเหมือนกับการให้จินตนาการสีที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (แปลว่าทำไม่ได้)

ข้อดีก็คือ วิธีหาสิ่งที่เติมเต็มก็เหมือนกับวิธีหาเหตุผลในการใช้ชีวิตแบบอื่นๆ แปลว่าเราต้องใช้ความพยายามในการหาคำตอบ ทำอะไรใหม่ๆ ตรวจสอบสภาพจิตใจตัวเองเรื่อยๆ ตรวจสอบความชอบความไม่ชอบของตัวเองเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังให้โอกาสตัวเองได้ลองอะไรใหม่ๆเสมอ สักวันหนึ่งเราก็จะหาสิ่งที่เติมเต็มตัวเองได้แน่นอน เพียงแต่คุณต้องใช้เวลาและความอดทน

การทิ้งมรดก
มรดก หมายถึงการทิ้งอะไรให้คนอื่น

หลายคนอาจสงสัยว่าชีวิตหลังที่เราไม่อยู่แล้วเป็นอย่างไร ในส่วนนี้ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าเราจะไปไหนต่อ แต่สิ่งที่เราจับต้องได้มากกว่าก็คือการคำนึงถึงคนอื่น ซึ่งคำตอบที่คนส่วนมากมีกัน ก็คือการทิ้งอะไรให้คนข้างหลัง

เหตุผล #9 – การทิ้งมรดก
มรดกมาได้ในหลายรูปแบบ นักธุรกิจที่อยากสร้างองค์กรยิ่งใหญ่อยู่ได้เป็นร้อยปี ศิลปินก็อยากทิ้งผลงานให้โลกชื่นชม บางคนก็อยากทิ้งโลกที่ดีกว่าไว้สำหรับคนรุ่นหลัง

สาเหตุในความอยากทิ้งมรดกก็มีหลายอย่าง ความภาคภูมิใจส่วนตัว ความรักให้กับคนรุ่นหลัง หรือบางคนก็แค่อยากจะทิ้งแต่ส่วนหนึ่งของตัวเราให้โลกจดจำไว้

โดยรวมแล้ว คนที่อยากทิ้งมรดกก็มีความคาดหวังหรืออีโก้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แค่เราต้องบริหารความคาดหวังเหล่านี้และใช้ให้ถูกช่องทาง สิ่งเหล่านี้คือ ‘ดาบสองคม’ ที่ทำร้ายเราได้ แต่ก็ผลักดันเราให้ก้าวหน้าได้เช่นกัน

เหตุผล #10 – การช่วยคนอื่น
ในส่วนนี้ผมได้อธิบายไปเยอะแล้วเรื่องความสุขจากการให้และการทำเพื่อคนอื่น แต่หลายครั้งที่การช่วยคนอื่นไม่ได้มีเหตุผลก็เพราะความสุขอย่างเดียว เราช่วยคนอื่นเพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราช่วยคนอื่นเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ

ผมคิดว่าบุคคลกลุ่มนี้คือคนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในใจที่ ‘แข็งแกร่ง’ กว่าคนอื่นๆ คนส่วนมากเพียงแค่ได้ทำดีหรือช่วยคนอื่นเล็กน้อยก็มีความสุขแล้ว แต่มีเพียงไม่กี่หยิบมือที่จะทุ่มเททั้งชีวิต เพราะเห็นคุณค่าของการช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ

ถึงแม้ว่าจะหาตัวได้ยาก โดยเฉพาะในสังคมทุนนิยมทั่วไป แต่ตัวอย่างคนที่หาเป้าหมายชีวิตได้จากการช่วยเหลือคนอื่นก็มีเช่น กลุ่มคนอาสาสมัครไปช่วยพื้นที่ยากไร้และในประเทศที่ขาดโอกาส ชีวิตคนเรามีเวลาจำกัด คนที่ทุ่มเทเวลาเหล่านี้ให้กับคนอื่นก็นับว่าน่าชื่นชมมากครับ

เหตุผล #11 – ครอบครัว
มรดกสุดท้ายก็คือครอบครัว ครอบครัวมีคุณค่าทางสังคมศาสตร์และทางจิตใจ เป้าหมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือการสืบพันธุ์ บางครั้งเราก็แยกไม่ค่อยออกว่าความรู้สึกที่เรามีอยู่มาจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือมาจากสิ่งที่เรารู้สึกจริงกันแน่ (แนะนำว่า หากคุณสับสนเรื่องเป้าหมายในชีวิตอยู่ก็อย่าคิดเรื่องนี้เยอะ เดี๋ยวจะเครียดเพิ่มไปใหญ่)

เอาเป็นว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง การได้ทำเพื่อคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะคนในครอบครัว หรือในสังคมใกล้ตัวเราก็เป็นเป้าหมายที่ดีอย่างหนึ่ง คุณแม่ส่วนมากมีความสุขจากการได้อยู่บ้านเลี้ยงลูก คุณพ่อที่ทำงานดึกๆเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว นับว่าเป็นความรู้สึกที่เราถูกเติมเต็มโดยไม่รู้ตัว

สุดท้ายนี้ เกี่ยวกับเหตุผลการใช้ชีวิต
ในบทความนี้ผมก็เขียนอธิบายมาเยอะแล้วนะครับเกี่ยวกับเหตุผลในการใช้ชีวิต หากคุณถามคนนับร้อยคน ส่วนมากก็จะตอบมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของในบทความนี้แหละ ซึ่งผมก็หวังว่าอย่างมากว่าคุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ผ่านตัวอย่างต่างๆที่ผมเรียบเรียงไว้

สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากให้คุณเข้าใจก็คือ ‘เป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนได้’ ต่อให้คุณเคยมีเป้าหมายใดมาก่อน ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะสำเร็จหรือจะไม่มีค่าอีกแล้วตอนนี้ ชีวิตในปัจจุบันก็เป็นโอกาสที่ดีในการตามหาเป้าหมายใหม่ๆเสมอ ถึงขนาดบางคนบอกว่า ‘เป้าหมายชีวิตก็คือการหาเป้าหมาย’ นั่นเหล่ะ

Six Forces โมเดลวิเคราะห์ การแข่งขันทางธุรกิจ ที่สมบูรณ์กว่า Five Forces | BrandCase

Six Forces โมเดลวิเคราะห์ การแข่งขันทางธุรกิจ ที่สมบูรณ์กว่า Five Forces | BrandCase
คนที่ทำธุรกิจ หรือเคยศึกษาเรื่องธุรกิจมาบ้าง น่าจะเคยได้ยินคำว่า “Five Forces Model”
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การแข่งขันทางการตลาดของ Michael E. Porter ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ ในด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์การแข่งขันในการทำธุรกิจ

ในเวลาต่อมา Five Forces Model ได้ถูกต่อยอดจนถูกพัฒนามาเป็น Six Forces Model ที่ช่วยให้โมเดลการวิเคราะห์ธุรกิจสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม..

Six Forces Model ที่ว่านี้ สมบูรณ์กว่า Five Forces Model ในประเด็นไหน ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ

ก่อนอื่นเรามาดูที่มาที่ไปของ Five Forces Model กันก่อนว่าเป็นอย่างไร

Five Forces Model ถูกคิดค้นโดย Michael E. Porter ซึ่งเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งเครื่องมือนี้เป็นแนวคิดที่น่าสนใจเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ

โดย Five Forces Model ถูกนำมาตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Harvard Business Review เมื่อปี 1979

แม้จะเป็นเครื่องมือที่ดูเรียบง่ายเพราะทำการวิเคราะห์เพียงแค่ 5 ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะการแข่งขันในการทำธุรกิจ

แต่เครื่องมือนี้ได้รับการยอมรับว่า เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การแข่งขันทางการตลาดที่ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งทั้งธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถนำไปใช้ได้

ปัจจุบัน เครื่องมือนี้ได้ถูกพัฒนาด้วยการเพิ่มปัจจัยที่ใช้ในการวิเคราะห์มาอีก 1 อย่าง จนทำให้เครื่องมือนี้ถูกเรียกว่า “Six Forces Model”

โดย Six Forces Model นั้นประกอบไปด้วย

  1. การแข่งขันของผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรม (Competition)

จุดนี้คือ การวิเคราะห์ว่า ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ มีสภาพการแข่งขันเป็นอย่างไร

เช่น ถ้าจำนวนคู่แข่งในอุตสาหกรรมมีมาก ผู้เล่นในอุตสาหกรรมอาจมีแนวโน้มที่จะทำกำไรได้น้อยกว่า มีผู้เล่นน้อยราย

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตเร็วหรือช้า
หากโตช้าแล้ว การแข่งขันก็มีแนวโน้มที่จะรุนแรง เพราะผู้เล่นแต่ละรายจะพยายามหาทางเพื่อทำให้ธุรกิจอยู่รอด

เช่น การใช้กลยุทธ์การตัดราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้เล่นหลายรายในอุตสาหกรรม

กรณีศึกษาที่น่าสนใจ ก็เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันของผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมสูง

หลายบริษัทที่เข้าไปประมูลงานต้องพยายามลดราคาประมูลให้ต่ำ เพื่อให้มีโอกาสชนะการประมูลงาน

แต่การแข่งขันด้วยการตัดราคา จะทำให้สุดท้ายผู้ที่ได้รับงานประมูลไปได้กำไรน้อย และในบางกรณีถึงกับขาดทุน

  1. การคุกคามของคู่แข่งหน้าใหม่ (Threat of New Entrants)

อุตสาหกรรมที่คู่แข่งเข้ามาลำบาก จะทำให้ผู้เล่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดิม มีแนวโน้มที่จะเจอการแข่งขันน้อย และมีโอกาสที่จะทำกำไรมากกว่าอุตสาหกรรมที่คู่แข่งเข้ามาแข่งขันง่าย

ซึ่งความยากง่ายนี้ เกิดมาจากหลายปัจจัย
เช่น เงินลงทุนหรือทรัพยากรที่ต้องใช้ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เทคโนโลยีในการผลิต ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิบัตร ความเชี่ยวชาญ การประหยัดจากขนาด นโยบายหรือสัมปทานจากภาครัฐ

เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปูนซีเมนต์ ธุรกิจเหล่านี้ เป็นธุรกิจที่คู่แข่งเข้ามาลำบาก เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมมักเกิดจากผู้เล่นรายเดิม ๆ

หรือแม้ว่าธุรกิจสาธารณูปโภค อย่างการผลิตและจำหน่ายน้ำประปา ก็เป็นอีกธุรกิจที่คู่แข่งเข้ามาลำบาก เนื่องจากต้องได้รับใบอนุญาตหรือสัมปทานในการทำธุรกิจ

  1. การคุกคามจากสินค้าหรือการบริการทดแทน (Threat of Substitutes)

เราเคยตั้งคำถามไหมว่า สินค้าและบริการที่เรากำลังทำนั้น จะมีอะไรที่สามารถมาทดแทนได้หรือไม่ ? เพราะถ้ามี อาจทำให้ลูกค้าเลือกที่จะหันไปซื้อสินค้าและบริการอื่นทดแทนได้

ธุรกิจเช่าวิดีโอหรือแผ่นซีดี น่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน เนื่องจากเจอการคุกคามของสินค้าหรือการบริการอื่นมาทดแทนหรือถูกดิสรัปต์ ไปเรียบร้อย

สมัยก่อนถ้าเราอยากดูหนัง เราต้องไปเช่าวิดีโอหรือแผ่นซีดี แต่สมัยนี้อย่างที่ทุกคนรู้ เราสามารถเลือกดูหนังต่าง ๆ ผ่านผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิงหลายรายในปัจจุบัน

จนทำให้ทุกวันนี้ ถ้ามีคนถามเราว่า เราไปร้านเช่าวิดีโอหรือแผ่นซีดี ครั้งสุดท้ายเมื่อไร เชื่อว่าหลายคนตอบไม่ได้เพราะมันนานจนเราลืมไปแล้ว..

  1. อำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Customers)

อุตสาหกรรมที่ลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองสูง หมายถึงว่า ลูกค้าหรือผู้ซื้อมีทางเลือกมากมายในการซื้อสินค้าและบริการ

ซึ่งกรณีนี้ทำให้ลูกค้าอาจขอซื้อสินค้าในราคาต่ำลงได้ง่าย และผู้ขายก็ต้องยอม ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ลดลง หรือการขอเพิ่มคุณภาพสินค้ามากขึ้น ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้น

และในกรณีกลับกัน สินค้าและบริการที่ลูกค้าหรือผู้ซื้อมีทางเลือกน้อย อำนาจการต่อรองของลูกค้าจะต่ำ

ตัวอย่างสินค้าที่คนซื้อมีอำนาจต่อรองน้อย ที่เห็นชัด ๆ ก็อย่างเช่น พ็อปคอร์น-เครื่องดื่ม หน้าโรงหนังเมเจอร์

ทาง Major บอกว่า Gross Margin หรือ อัตรากำไรขั้นต้นของการขายพ็อปคอร์นและเครื่องดื่ม อยู่ที่ประมาณ 55-60% ซึ่งอัตรากำไรระดับนี้ ถือว่าค่อนข้างสูง

คือที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะว่าโรงหนังมีกฎห้ามเอาอาหารและเครื่องดื่มจากข้างนอก เข้าโรงภาพยนตร์

เพราะฉะนั้นคนที่อยากซื้อน้ำ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าอยากซื้อขนมทานตอนดูหนัง ก็ต้องยอมจ่ายตามราคาที่เมเจอร์ขาย นั่นเอง

  1. อำนาจต่อรองจากซัปพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)

ธุรกิจเราอาจมีปัญหา ถ้าซัปพลายเออร์ที่จัดหาสินค้า หรือส่งสินค้าให้เรา ขอขึ้นราคาหรือยกเลิกการส่งสินค้าและบริการหรือวัตถุดิบมาให้

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องหมายเหตุก็คือ บางครั้งซัปพลายเออร์ก็อาจกลายมาเป็นคู่แข่งเสียเองก็มี

เช่น ASUS ที่เมื่อก่อนเป็นซัปพลายเออร์ทำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้แก่บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ แต่ทุกวันนี้ ASUS ก็กลายมาเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เสียเอง

ส่วน Forces สุดท้ายที่ถูกเพิ่มขึ้นมาจาก Five Forces ก็คือ

  1. สินค้าที่ต้องใช้ร่วมกัน (Complementary Products)

สินค้าที่มีความต้องการใช้ร่วมกันสูง หมายความว่า
ถ้าธุรกิจไหนเติบโตได้ดี อีกธุรกิจหนึ่งก็มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย และถ้าอีกธุรกิจหนึ่งย่ำแย่ ก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบไปยังอีกธุรกิจหนึ่งด้วยเช่นกัน

ยกตัวอย่าง สินค้าที่มีระดับความต้องการใช้ร่วมกันสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน

หรือเครื่องคอมพิวเตอร์กับระบบปฏิบัติการ ที่ต้องเป็นของที่ต้องมาคู่กันเสมอ ขาดกันไปไม่ได้เลย

ในทางตรงข้ามถ้าสินค้าของเราไม่จำเป็นต้องใช้ร่วมกับสินค้าอื่น กรณีนี้ระดับความต้องการใช้ร่วมกันของธุรกิจเราก็จะต่ำนั่นเอง

อ่านมาถึงตรงนี้ เราน่าจะพอเข้าใจเรื่อง Six Forces Model ซึ่งใช้ในการวิเคราะห์การแข่งขันในเชิงธุรกิจ ให้รอบคอบและครบถ้วนทุก ๆ ด้านกันไปแล้ว

สำหรับใครที่กำลังทำธุรกิจ หรือวางแผนกำลังจะทำ
ลองใช้ Six Forces Model เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจกันได้ ซึ่งเครื่องมือนี้ ก็คงช่วยให้เรารอบคอบขึ้น และเห็นธุรกิจของเราชัดขึ้นได้..

References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Porter%27s_five_forces_analysis
-https://en.wikipedia.org/wiki/Six_forces_model

ไม่มีอะไร

นายสำราญเก็บขยะขายตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ก่อนตายยกเงินเก็บสองแสนบาทให้ลูก นายกนกทำงานบริษัทมาตั้งแต่หนุ่ม เมื่อเกษียณมีเงินเก็บหนึ่งล้านกว่าบาท เขาส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกสองคน นางนงเยาว์เปิดโรงงานผลิตปลาหมึกกระป๋อง กิจการใหญ่ขึ้น มีบ้านห้าหลัง รถยนต์สิบคัน ก่อนตายก็ส่งต่อสิ่งทั้งหมดที่มีให้ลูกหลาน

การส่งทรัพย์สินต่อให้ลูกหลานเป็นระบบที่มนุษย์สร้างไว้มานานแสนนาน กติกาของเราคือทำงานสะสมทรัพย์สินให้เต็มที่ เมื่อตายก็ส่งต่อทรัพย์สินที่ดินให้ลูกหลานได้ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มแก่การลงแรงทำงาน ดังนี้จึงเป็นภาพปกติที่เห็นพ่อแม่จำนวนมากก้มหน้าก้มตาหาเงิน เก็บเงินให้ลูก

จะว่าไปแล้ว ระบบนี้ใช้ตัณหาเป็นแรงขับเคลื่อน ตัณหาในที่นี้มิได้หมายความในเชิงร้าย แค่หมายถึงว่าใครทำงานมากกว่าก็ได้มากกว่า

มีผู้วิเคราะห์ว่าเหตุผลหนึ่งที่ระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายก็เพราะมันสวนทางกับตัณหาของมนุษย์ ทำงานหนักแทบตายได้ค่าตอบแทนเท่าคนเกียจคร้าน ย่อมทำให้ทุกคนขี้เกียจเท่ากัน ระบอบคอมมิวนิสต์ในบางประเทศปัจจุบันจึงเป็นแค่เปลือก แก่นเปลี่ยนเป็นทุนนิยมไปแล้ว มหาเศรษฐีระดับโลกจำนวนมากเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้เพราะระบอบการเมืองเปลี่ยนได้เสมอ แต่ธรรมชาติคนไม่เปลี่ยน ใครๆ ก็อยากได้ทรัพย์สมบัติมากๆ

…………

เคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราย้ายเข้าบ้านใหม่หรือห้องเช่าใหม่ กินเวลานานเท่าไรที่เปลี่ยนจากห้องว่างเป็นห้องที่มีข้าวของเต็มแน่น ส่วนใหญ่ไม่นาน เพราะเป็นสัญชาตญาณของเรา

คนเราเกิดมาก็เริ่มสะสม จนกลายเป็นนิสัย

สัตว์จำศีลเก็บอาหารเท่าที่ต้องกินตลอดฤดูหนาว แต่มนุษย์สะสมสิ่งของมากๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทรัพย์มากขนาดนั้น มันอาจเป็นความรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีทรัพย์มากๆ ยิ่งมีมากยิ่งอบอุ่นใจ จนมันกลายเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยามากกว่าความจำเป็น

การเก็บเงินทองมากจนใช้ทั้งชีวิตไม่หมด และไม่สามารถเอาไปไหนได้หลังตาย จึงเป็นการใช้เวลาที่สิ้นเปลืองเปล่าๆ

เคยถามตัวเองไหมว่าเราต้องการทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรจึงจะรู้สึกปลอดภัย? เราต้องการความปลอดภัยมากจนมันกลายเป็นนิสัยงกหรือไม่?

เราได้ยินข่าวมหาเศรษฐีซื้อกิจการนั้นกิจการนี้ ซื้อสโมสรกีฬาในต่างประเทศ ฯลฯ ซื้อๆๆๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรกับเงินที่มี บางคนซื้อๆๆๆ เพียงเพราะตนเองสามารถซื้อได้ ไม่ต่างจากคนที่พูดๆๆๆ เพียงเพราะมีสมาร์ทโฟน กลายเป็นทาสเงินตราไปโดยไม่รู้ตัว

มองดูดีๆ จะเห็นว่า มีเงินแล้วเหนื่อยกว่าเดิม! ยิ่งมีสมบัติมากก็ยิ่งมีห่วงผูกคอมากเท่านั้น เพราะเท่าไรก็ไม่เคยพอ

กลายเป็นชีวิตที่รุงรัง

สมมุติว่านายสำราญ นายกนก นางนงเยาว์อยู่คนเดียวไม่มีญาติมิตร ไม่มีผู้รับมรดก บางทีพวกเขาอาจเดินชีวิตช้าลง เพราะไม่รู้จะสะสมทรัพย์สินมากมายให้คนอื่นใช้ไปทำไม

ถ้าหากการไม่มีห่วงทำให้เรารู้สึกพอเพียงง่ายกว่า เราอาจลองลดห่วงโดยมองว่า การมอบสมบัติให้ลูกหลานมากเกินความจำเป็นอาจทำร้ายพวกเขามากกว่า

…………..

ในช่วงสงครามใหญ่ เมื่อทั้งเมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง จนมองไม่เห็นเส้นแบ่งที่ดิน แต่ละคนต้องเริ่มต้นใหม่ สร้างตัวใหม่จากศูนย์ เมื่อนั้นจึงพบสัจธรรมว่าความมั่นคงที่เกิดจากทรัพย์สินเป็นภาพลวงตา มนุษย์ไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรทั้งสิ้น โฉนดที่ดินหรือใบกรรมสิทธิ์ เป็นเพียงสิ่งสมมุติในโลกมนุษย์ ออกแบบมาให้เราอยู่ร่วมกันได้

ทรัพย์สินพันล้านหมื่นล้านก็ไม่ได้ทำให้คนคนหนึ่งเป็นคนพิเศษขึ้นมา หากกอดสมบัตินั้นแน่น เพราะมันไม่ใช่ของเรา มันไม่เคยเป็นของเรา เราแค่ยืมธรรมชาติมาเท่านั้น

ดังนั้นทัศนคติว่าต้องมีมากกว่าคนอื่นอาจเป็นการสร้างโซ่ตรวนมาพันธนาการวิญญาณตัวเอง

แน่นอน มันย่อมมิใช่เรื่องเลวร้ายที่จะมีสมบัติพัสถานมาก หรือร่ำรวยล้นฟ้า แต่หากไม่สามารถอยู่เหนือความรวย ชีวิตก็ต้องเหนื่อยกับการแบกของหนักตลอดเวลา

ลองนึกภาพตัวเองเดินป่า ก่อนเข้าป่า ต้องการขนของชิ้นนั้นชิ้นนี้ ทุกชิ้นสำคัญ เข้าไปได้พักหนึ่ง ก็ลดความจำเป็นลงไปเรื่อยๆ เพราะพอเหนื่อยมากๆ สิ่งที่เคยจำเป็นเหลือเกินก็กลายเป็นความไม่จำเป็นแล้ว

เครื่องบินที่ประสบปัญหาขัดข้อง น้ำหนักมากไป ต้องทิ้งสัมภาระลงไป จึงตัวเบาขึ้น และบินต่อไปได้

เราไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง เพียงแต่อยู่เหนือทรัพย์สินเงินทอง เป็นเจ้านายมัน ไม่ใช่เป็นทาสมัน

ทานจึงเป็นเรื่องสำคัญทางพุทธ มันทำให้ตัวเราเบาสบาย คล่องตัว สมบัติยิ่งน้อยยิ่งเป็นอิสระ

ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า “เวลาที่เราไม่มีอะไรเป็นของเราเลย นั่นแหละเป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุด”

ความหมายคือ เมื่อไม่มีอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ก็จะว่างจากความทุกข์

วลี “ไม่มีอะไร” น่าจะกว้างกว่าแค่ทรัพย์สิน ข้าวของ คน ชื่อเสียง แต่รวมเรื่องการปรุงแต่งของใจด้วย

เมื่อห้องของหัวใจว่างจากตัณหา ก็ไม่เป็นทุกข์

การปล่อยวางทางวัตถุต้องเริ่มที่ปล่อยวางทางจิต แต่ไม่ง่าย

หัวใจของการออกแบบศิลปะทุกชนิดคือความเรียบง่าย องค์ประกอบไม่มากจนรุงรัง ชีวิตก็เหมือนกัน

เราเลือกที่เกิดไม่ได้ เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ เลือกสีผิว ประเทศ ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเดินแบกของหนักหรือเดินแบบตัวเบาสบายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ได้…

  • วินทร์ เลียววาริณ –

Ikiru ยังมีชีวิตอยู่ (To Live)

Ikiru

Ikiru (1952)

ผลงานจากผู้กำกับ Akira Kurosawa กับสุดยอดการแสดงของ Takashi Shimura นี่เป็นหนังที่ตั้งคำถามกับการใช้ชีวิต เมื่อได้รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ช่วงเวลาที่เหลืออยู่คุณจะใช้มันทำอะไร หนังที่สอดแทรกแนวคิดที่ดีมากๆ แต่วิธีการนำเสนอค่อนข้างดูยากสักนิด คนดูถ้าไม่ชอบก็จะเกลียดไปเลย

ผมเคยดู Ikiru พร้อมๆกับหนังเรื่องอื่นใน collection ของ Akira Kurosawa เมื่อนานมาแล้ว แต่นี่เป็นหนังที่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำของผมเลย หลายปีผ่านไปได้เห็นชาร์ทจัดอันดับหนังมากขึ้นก็เริ่มสงสัย เพราะคุณภาพของหนังหนังมันเทียบเท่า Rashomon และ Seven Samurai เลย ได้กลับมาดูครั้งนี้จึงเข้าใจ มันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมไม่จดจำหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แนวคิดหรือวิธีการเล่าเรื่อง แต่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

Ikiru เป็นผลงานคั่นระหว่าง Rashomon กับ Seven Samurai จะว่าหนังเรื่องนี้ครึ่งหนึ่งเป็นส่วนผสมของการทดลองด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องใหม่ๆ กับแนวคิดที่ถือเป็นสไตล์ของ Kurosawa ตอนสร้างหนังเรื่องนี้ Kurosawa เพิ่งจะอายุย่างเข้า 40 กำกับหนังมาก็หลายเรื่องแล้ว ไม่ใช่ตอนย่างเข้า 30 หรือย่างเข้า 50 แต่ ณ ตอนที่อายุ 40 คงเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มมองย้อนกลับไปแล้วถามตัวเอง กับสิ่งที่เขาทำมาตลอดทั้งชีวิตมันมีค่าพอหรือเปล่า จากการได้อ่านนิยายของ Leo Tolstoy ตีพิมพ์เมื่อปี 1886 เรื่อง The Death of Ivan Ilyich คงทำให้เขาฉุกคิดได้

ร่วมดัดแปลงบทโดย Shinobu Hashimoto, Hideo Oguni พระเอกเป็นตัวแทนของชายกลางคน middle-age (แต่ทำงานมา 30 ปีนี่ อายุขั้นต่ำก็ 50 แล้ว ไม่น่าจะเรียกว่า middle-age แล้วนะ เรียกว่าสูงวัยยังได้) ส่วนผสมของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แนวคิดเกี่ยวกับการมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังมีการเสียดสีระบบการทำงานของรัฐ ที่ขาดความกระตืนรือร้น เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายและความเห็นแก่ตัว (ผมเคยดูหนังที่เสียดสีรัฐแบบเจ็บๆแสบๆ ก็เรื่อง Brazil ของ Terry Gilliam นะครับ เรื่องนั้นนี่ตรงๆเลย ถ้ามีโอกาสไว้จะมาเล่าให้ฟัง) ในระบบการทำงานของรัฐที่แต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่รักษาตำแหน่งของตน เงินเดือนที่จำกัด ความก้าวหน้าที่ไม่มาก เหล่านี้ทำให้การขยับตัวของคนทำงานลดลงจนไม่คิดจะทำอะไรเลย และเมื่อวันหนึ่งที่พระเอกได้พบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง เขาจึงเริ่มมองย้อนกลับไป ว่านี่เราเกิดมาเพื่ออะไร ตั้งคำถามกับชีวิตกับช่วงเวลาที่เหลือ ฉันจะทำอะไรดี คำตอบของหนังเรื่องนี้ ณ จุดที่พระเอกเราคิดได้ว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่าง สิ่งที่เขาทำก็คือทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน ให้โลกได้จารึกไว้ว่าเขาก็เป็นคนที่สามารถทำอะไรบางอย่างได้ มีชีวิตไม่เสียชาติเกิด

นำแสดงโดย Takashi Shimura หนึ่งในนักแสดงขาประจำที่สุดของ Kurosawa ผมคิดว่าการแสดงของ Shimura ในหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นที่สุดการแสดงของเขาเลย ตอนเล่นหนัง Shimura อายุประมาณ 46 เล่นเป็นชายสูงวัยใกล้ตาย เสียงของเขาจะทุ้มต่ำ อู้อี้อยู่ในลำคอแทบทั้งเรื่อง สายตาที่มองต่ำตลอดเวลา ก้มหน้าก้มตา ดูเหนื่อยอ่อน อ่อนล้า สิ้นหวัง หมดหวังในชีวิต แต่เมื่อขณะที่ตัวละครนี้คิดได้ว่าควรทำอะไร น้ำเสียงเขาดูจะเข้มแข็งขึ้น การแสดงที่ดูจริงจังและมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนมัมมี่อีกต่อไป การแสดงของเขาแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง Shimura แก่กว่า Kurosawa นะครับ แต่ทั้งสองสื่อสารกันได้เข้ากันมากๆ และในบรรดาหนังหลายๆเรื่องที่ผมดูมา การแสดงของ Shimura ในหนังเรื่องนี้ถือว่ากินขาด สมจริงมากๆ

มีคำพูดที่ตัวละครของ Shimura หลายประโยคเจ๋งๆเต็มไปหมด แต่ที่โดนใจผมที่สุดคือ “ผมไม่มีเวลาที่จะมีโกรธเกลียดใคร ในตอนนี้ ผมมีเวลาเหลือไม่มาก (I can’t afford to hate people. I don’t have that kind of time.) ประโยคนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวละครที่พูดเท่านั้น กับคนทั่วไปที่มีเวลาทั้งชีวิต 60 ปี 100 ปี มันอาจจะมีเวลามากมาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาเวลานั้นไปโกรธเกลียดใครนะครับ เทียบกับคนที่มีเวลาชีวิตเหลือแค่ 3-6 เดือน มันก็ไม่ได้ต่างกันเลย

ถ่ายภาพโดย Asakazu Nakai มีฉากหนึ่งช่วงท้าย ในขณะที่พระเอกกำลังโหนชิงช้า อยู่ท่ามกลางหิมะ นี่เป็นฉากที่ดูแล้วขนลุก เพราะเพลงที่เขาร้องเสียงอู้ๆอยู่ในลำคอที่มันไม่ได้เพราะเลย แต่ความรู้สึกของตัวละครขณะนั้น ที่หมดห่วงต่อโลก เขาได้ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกมีตัวตนบนโลกสำเร็จแล้ว กับการถ่ายภาพที่ค่อยๆเคลื่อนเข้าไปและหยุดนิ่ง นี่เป็นฉากจบที่ตราตรึงสุดๆ, การถ่ายภาพเจ๋งๆของ Nakai จะเห็นชัดมากในครึ่งหลัง โดยเฉพาะการถ่ายภาพในงานศพ ที่ทำเหมือนเราเป็นคนดู เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ณ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกตัวละครในหนัง กำลังวิเคราะห์หาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกับคนดู ที่หนังทำให้คุณครุ่นคิดตามเกี่ยวกับชีวิตของคุณเอง

ตัดต่อโดย Kōichi Iwashita นี่เป็นหนังที่มีการเล่าเรื่องแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกคือพูดถึงพระเอก เรื่องราวของเขา และสิ่งที่เขาทำเมื่อได้รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ช่วงนี้มีการเล่าเรื่องไปเรื่อยๆเป็นเส้นตรง ที่ค่อนข้างช้า รู้สึกจะเกือบชั่วโมงครึ่งเลยกว่าที่พระเอกจะตัดสินใจได้ว่าเขาควรจะทำอะไรต่อไป ช่วงแรกนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นะ ความช้าก็ส่วนหนึ่ง แต่บรรยากาศของหนังทำให้รู้สึกอึดอัดมาก ผมเชื่อว่านี่คือความจงใจของ Kurosawa เลยที่จะทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดไปกับตัวละคร และการแสดงของ Shimura เขาดูเหมือนเด็กโง่ๆในคราบของคนสูงวัย ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ลุงใช้ชีวิตมาได้ยังไงกว่า 50 ปีละนี่

ณ ขณะที่พระเอกเราคิดได้ว่าควรจะทำอะไร นี่เป็นอีกฉากที่ผมชอบมากๆ นั่นคือขณะนั้นเราจะได้ยินเพลง happy birth day ดังขึ้นมา ไม่ใช่ ้happy birth day ที่เป็นวันเกิดของพระเอก แต่เป็นวันเกิดของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ไกลๆ เล่าคู่ขนานไปด้วย ณ จังหวะที่เขาคิดได้ว่าควรทำอะไร มันเหมือนกันการได้เกิดใหม่ เป็นคนอีกคนหนึ่ง ความหมายของฉากนี้ จังหวะที่เด็กหญิงเจ้าของวันเกิดวิ่งขึ้นมา และพระเอกวิ่งลงไป มันเปะจริงๆ สวยงามมากๆ

ครึ่งหลัง หลังจากที่พระเอกรู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรแล้ว หนังตัดไปที่ฉากงานศพของเขาเลย นี่คือจุดสุดท้ายที่เรารู้ได้ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า ยังไงตัวเอกเราก็ต้องตาย แต่อยู่ดีๆพี่แกตายตั้งแต่กลางเรื่องเนี่ยนะ เทคนิคที่ Kurosawa ใช้ก็คือ เอาสิ่งที่เรารู้แน่นอนแล้วว่าต้องเกิดขึ้น มาใส่ตั้งแต่กลางเรื่อง โดยให้คนดูฉงนและสงสัยว่า พระเอกเราทำอะไรก่อนตายกันแน่ นี่เป็นเทคนิคที่แปลกมากๆในสมัยนั้น ปัจจุบันผมยังรู้สึกว่าแปลก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับจะนิยมทำ ผลลัพธ์ นี่คือจุดที่ผมเชื่อว่า ถ้าคนที่ชอบจะชอบมาก แต่คนที่ไม่ชอบจะเกลียดเลย ผมค่อนไปทางฝั่งหลัง คือไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ การเล่าย้อนแบบ Flashback เกิดขึ้นจากการพยายามวิเคราะห์เหตุผลของการกระทำของตัวเอก ทำไมเขาทำแบบนี้ หนังจะไม่เล่าทุกฉากว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะเล่าเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เป็นการกระทำที่ผิดแปลก คนอื่นเขาไม่ทำกัน แต่ตัวเอกทำ เหตุผลที่ผมไม่ชอบเพราะหนังไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอะไรเลย แทนที่จะให้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมีคุณค่า กลับพุ่งไปที่การตั้งคำถามและการวิเคราะห์ และตอนจบที่กลับมาเสียดสีมนุษย์ ว่า ถึงคนเราจะคิดได้ว่าควรทำอะไร แต่การที่จะทำมัน มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ดังสำนวน “ดีแต่ปาก” หรือ “หมาเห่าใบตองแห้ง”

เพลงประกอบโดย Fumio Hayasaka เจ้าเดิมเจ้าประจำ กับ Ikiru เรายังคงได้ยินเพลงประกอบที่ไพเราะ แม้จะไม่ติดหู แต่สร้างบรรยากาศได้ดี เห็นว่าครานี้ใช้ Orchestra เต็มวง เน้นเครื่องเป่า ส่วนเพลงที่พระเอกร้อง Gondola No Uta เนื้อร้องเขียนโดย Isamu Yoshii ทำนองโดย Shinpei Nakayama ใช้เปียโนประกอบ นี่เป็นเพลงที่ฟังแล้วหดหู่ ทรมานหูมาก เหมือนเสียงร้องของคนใกล้ตาย (ก็ใกล้ตายจริงๆนะแหละ) แต่ความหมายของเพลงมันสอนใจจริงๆ สำหรับคนที่ทนฟังได้นะครับ

ผมชอบแนวคิดของหนังแต่ไม่ค่อยชอบวิธีการนำเสนอเท่าไหร่ มันทำให้ผมรู้สึกเบื่อ เหตุผลที่ผมไม่ชอบจริงๆคงเพราะแนวคิดนี้มันอาจจะดูไกลตัวไปสักหน่อย อายุผมก็ยังอยู่แค่เลข 2 แต่ไม่ใช่ผมไม่คิดนะครับ ตอนผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก น่าจะยังตอนอายุเลข 1 ด้วยซ้ำ ดูจบแล้วเชื่อว่าตอนนั้นก็มองย้อนไปดูตัวเอง ได้ทำอะไรที่คิดว่ามีค่าต่อการเกิดมาของตัวเองหรือยัง? ตอนนั้นก็พบคำตอบแล้วว่ามีมากมาย ปัจจุบันมองย้อนไป สิ่งต่างๆที่ผมเคยทำ ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจ ดังนั้นหนังเรื่องนี้มันเลยไม่ใช่คำตอบสำหรับผม ผมไม่มีอะไรที่ ถ้าสมมติว่าต้องตายพรุ่งนี้ แล้วมองย้อนกลับไปจะมีอะไรที่เสียดายหรือเสียใจที่ไม่ได้ทำ เชื่อว่าคนที่มีชีวิตคล้ายๆกับผม เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้อะไรมาก เพราะชีวิตเราไม่ได้ดูบัดซบ ซื้อบื้อเป็นแบบพระเอกในเรื่อง แต่สำหรับคนที่ทั้งชีวิตเขา หนังมันยังกะถอดแบบเดียวกันมา ผมว่าคุณควรจะรีบเลยนะครับ ล้างสมอง คิดใหม่ หาแนวทางของตนเอง ทำในสิ่งที่อยากทำ คิดในสิ่งที่อยากคิด อย่ายึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ค้นหาและหาคำตอบให้กับตัวเอง … แต่ก็นะ พูดไป คนส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแบบตอนจบของหนัง คุณเป็นหนึ่งในคนแบบนั้นหรือเปล่า

นักวิจารณ์หนัง Roger Ebert เคยเขียนวิจารณ์ไว้ เขาดูหนังเรื่องนี้แทบจะทุกๆ 5 ปี การดูแต่ละครั้งเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เราจะประทับใจกับหนังมากขึ้น ทุกครั้งก็จะมองย้อนกลับไปดูตัวเองและจะเริ่มเห็นว่าตัวละครแบบใน Ikiru พบเห็นได้มากมายทั่วไปในชีวิตประจำวัน

ผมอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ นี่เป็นหนังที่มีแนวคิด ที่ทำให้คนดูต้องกลับมานึกถึงตัวเอง ไม่ใช่หนังทุกเรื่องจะทำแบบนี้ได้ แต่ Akira Kurosawa ทำได้ นี่เป็นหนังที่สร้างมาเพื่อให้คนตั้งคำถามกับตัวเอง “เกิดมาเพื่ออะไร?” “คุณใช้ชีวิตได้คุ้มค่าหรือไม่?” Ikiru แปลว่า ยังมีชีวิตอยู่ (To Live) ชื่อหนังสะท้อนถึงความมีชีวิต ผมคิดว่าต้องวิธีการนำเสนอแบบหนังเรื่องนี้เท่านั้นถึงคนทำให้ฉุกคิดได้ ด้วยเหตุนี้ผมเลยต้องจัดให้หนังเรื่องนี้ MUST SEE BEFORE DIE เท่านั้นนะครับ

หนังอาจดูยากเสียหน่อย แต่แนะนำให้อดทนดูจนจบ ชอบไม่ชอบก็อีกเรื่อง แต่ต้องหาโอกาสดูให้ได้ จัดเรต 13+ ไม่มีฉากรุนแรง คิดว่าเด็กกว่านี้คงดูไม่เข้าใจนะครับ

คำโปรย : “Ikiru หนังของ Akira Kurosawa นำแสดงโดย Takashi Shimura นี่คือหนังที่ต้องดูให้ได้ก่อนตาย คุณค่าของหนังเรื่องนี้คือการคิดตามเมื่อดูจบ ว่าฉันเกิดมาเพื่ออะไร? มีชีวิตที่คุ้มค่าหรือไม่?”

ผมหาเงินเที่ยว 2 เดือนครึ่ง ก่อนปีใหม่ได้ 900,000 บาท จากการขายของออนไลน์ มาดูเคล็ดลับที่จะเปิดเผยกัน

ผมหาเงินเที่ยว 2 เดือนครึ่ง ก่อนปีใหม่ได้ 900,000 บาท จากการขายของออนไลน์ มาดูเคล็ดลับที่จะเปิดเผยกันกระทู้สนทนา

มนุษย์เงินเดือนE-commerceการตลาดเจ้าของธุรกิจ

สวัสดีครับ ก่อนปีใหม่นี้ผมอยากที่จะมาแชร์เรื่องง่ายๆที่หลายคนอาจจะมองข้ามในการทำรายได้จากอินเตอร์เน็ต (ไม่ใช่พวกชวนมาทำงานวันล่ะ 2-3 ชม./วัน แล้วมีรายได้นะครับ อันนั้นมัน MLM (ของผมนี้ขายของออนไลน์ มีสินค้าขายจริง ไม่ต้องชวนคนมาต่อเป็นลูกทีมนะ) หลายคนร่ำรวยจากการขายของออนไลน์หลายสิบหลายร้อยล้าน แต่ว่าความเป็นจริงมันมีเคล็ดลับบางอย่างอยู่ที่ทำให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ผมเองก็เป็นคุณพ่อมือใหม่ที่ส่วนใหญ่ใช้เวลาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน (ผมไม่เคยทำงานประจำเลย ตั้งแต่จบมา) แต่เก๋าเรื่องการทำธุรกิจในโลกออนไลน์มาหลายสิบปี ทำธุรกิจส่วนตัวมาตลอดพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกธุรกิจ และก็อยู่ในการตลาดออนไลน์มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ผมมีลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นด้วย ซึ่งวิธีการหาเงินแบบออนไลน์นี้ ผมเรียกมันว่า “การดึงเงินจากฟ้า มาสู่ดิน” คือ โลกออนไลน์ ของให้คุณมี 3 G ใช้ มันก็เหมือนกับสัญญาที่อยู่ในอากาศ คุณจะเปลี่ยนสัญญาเหล่านี้ให้กลายเป็นเงินเข้ากระเป๋าคุณได้อย่างไร เลยอยากมาบอกเคล็ดลับบางอย่างสรุปออกมาเป็นข้อๆ ว่าเค้าทำกันอย่างไรถึงขายของในโลกออนไลน์ได้ร่ำรวยขนาดนี้
ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิดผมหารายได้เสริมจากการขายของออนไลน์ 2 เดือนครึ่ง ได้ 900,000 บาท โดยมีสินค้า item เดียวในการขาย เลยมีเงินไปเที่ยวปีใหม่แบบสบายใจมาก เพราะว่าผมสามารถสร้างยอดขายต่อวันได้เฉลี่ย 10,000-50,000 บาท / วัน ซึ่งการขายของชนิดนี้ มีการวางแผนทางการตลาด การจัดตำแหน่งสินค้า ศึกษาคู่แข่ง และการวิเคราะห์มาก่อนแล้วทั้งสิ้น เมื่อมั่นใจถึงจะลงมือทำการตลาดอย่างเต็มที่ และการตลาดที่ใช้มีแค่ช่องทางเดียวคือ Facebook โดยการโปรโมทสินค้าเพียงแค่ชนิดเดียว ซึ่งผลตอบรับจากการขายสินค้าชิ้นแรกได้ใช้เวลาแค่ 1 วัน ผมลงโฆษณาใน Facebook ให้พี่มาร์คแค่ 2 เดือนกว่า โดยจ่ายต้นทุนค่าโฆษณาไปไม่ถึง 20,000 บาท เพราะสิ่งสำคัญสมัยนี้ไม่ใช่อะไรก็จะขายของ แต่คอนเทนต์ที่โดนใจผู้บริโภคต่างหากที่ทำให้เกิดการบอกต่อของสินค้าด้วยตัวมันเอง (ทุกอย่างผ่านการวางแผนมาก่อนนะครับ) 
ที่นี้เรามาดูกันว่าสูตรสำคัญที่หลายคนขายของออนไลน์แล้วทำไมประสบความสำเร็จกัน มันง่ายมาก ผมสรุปออกมาให้เป็นข้อๆดังนี้ เผื่อจะมีประโยชน์กับทุกคนที่เริ่มต้นขายของออนไลน์กันน่ะครับ 
สูตรหาสินค้ามาขายของออนไลน์

1. สินค้าราคาขาย 500-1500 ซื้อง่ายขายคล่อง ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญในเรื่องของราคา จากประสบการณ์การขายของในราคาระดับนี้มันทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อของได้ง่ายที่สุด ส่วนจะซื้อมากน้อยเพิ่มขึ้นเท่าไหร่อยู่ที่ความสามารถของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในการพูดคุยกับลูกค้า (และแน่นอนการพูดคุยคุณต้องมีวาทศิลป์ผ่านหน้าจองให้ดีที่สุด จริงๆมันง่ายกว่าคุยต่อหน้าเยอะเลย ลองไปฝึกกันดูนะครับ)
2. ส่ง 1-2 วัน ความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะครับ ยิ่งได้รับเร็วสินค้าดี รับรองลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำแน่นอนเพราะการซื้อครั้งแรกอาจจะเป็นการทดลองสั่งสินค้าดูก่อน หากเราส่งสินค้าจริง สินค้าดี รับรองมีซ้ำ
3. ขนาดกล่องไม่เกินกล่องไปรษณีย์ มันจะดีนะครับ หากสินค้าคุณมีน้ำหนักที่น้อย มันช่วยให้คุณและลูกค้าคุณประหยัดค่าส่งได้เป็นอย่างดี ลองคิดดูสิหากคุณบวกค่าส่งไปตั้ง 200 บาท นั่นแสดงว่ามันทำให้ลูกค้าบอกว่าค่าส่งแพงจังค่ะ 
4. สินค้า re-order ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี สินค้าเก่าขายลูกค้าใหม่ สินค้าใหม่ขายลูกค้าเก่า เคล็ดลับความสำเร็จอีกประการคือ มันจะสบายมากๆหากลูกค้าเก่าเราสั่งซื้อสินค้าเราทุกเดือน เพราะการสะสมลูกค้านั่นหมายความว่าหลังจาก 1 เดือนที่คุณเริ่มขายของ เดือนถัดไปคุณจะออกแรงในการทำงานลดลงไปอีก 20 % เพราะฐานลูกค้าเก่าที่คุณมี
5. นำคู่แข่ง 1 ก้าว ใส่นวัตกรรมเข้าไป หรือเขียนเรื่องราวให้เข้ากับสินค้าที่มีอยู่ การที่เราพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ คู่แข่งตามไม่ทัน หรือสินค้าเรามีความเชื่อในเรื่องราวที่เป็นอยู่ นั่นล่ะความรวยอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว 
6. ต้องการแหล่งผลิต หรือนำเข้ามา ยากมาก มันเป็นการตัดคู่แข่งไปอย่างง่ายดาย หากเราเริ่มต้นได้ยากเท่าไหร่ จำไว้นะครับว่า สิ่งที่เราหามาได้ง่ายๆก็มีคนเลียนแบบเราได้ง่ายๆ 
7. ข้อนี้โครตสำคัญเลย (ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกนะครับ) คือ ราคาขายต่ำกว่าท้องตลาด 30% และบวกกำไรจากต้นทุนต้อได้ขั้นต่ำ 4.5 เท่า จัดโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆแล้วเหลือ 3 เท่า และถ้าจะขายส่งต้องได้ 1.5-2 เท่า

เช่น ต้นทุน 100 ขาย 450+ จัดโปรโมชั่นเหลือ 300 ซึ่งเป็นราคาที่ขายที่จะต้องต่ำกว่าคู่แข่งอื่น 30% (คนอื่นขาย 700บาท เราอาจจะต้องขายได้ 450-490 บาท) ขายส่ง 150-200 บาท
8. อยู่เฉยๆ จะต้องขายได้ โดยที่ไม่ต้องทำอะไร (ยังโฆษณาอยู่แต่ไม่ได้ยุ่งอะไร) ที่สำคัญคือ แม้ว่าคุณจะไปทำงานอย่างอื่นหรือมีธุรกิจส่วนตัวอื่นๆ สินค้าจะยังต้องขายได้ด้วยตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นการบอกต่อ หรือ ใช้เงินในการโฆษณา หรือใช้ระบบออนไลน์ตัวอื่นมาสร้างยอดขายให้ได้

ฝากเทคนิคสำคัญอีกนิดหน่อยนะครับ

• กดต้นทุนสินค้าเรา ให้ต่ำที่สุด ไม่ว่าเราจะผลิตเองหรือนำเข้ามาขาย อาจจะลงทุนบินไปดูโรงงานที่จีน จนคิดว่าได้ราคาที่โอเค ถ้าไม่ได้ตามสูตรเรา ไม่เอาเลย (แต่หากโรงงานดี สินค้ามีคุณภาพจริงๆ ไม่มีคู่แข่งเราค่อยกลับมาง้อโรงงานทีหลัง แล้วมาปรับสูตรใน 8 ข้อข้างต้น อิอิ)
• คัดเลือกการตลาดการขายที่เหมาะสมกับสินค้านั้น หาให้เจอ ช่องทางการขายไหนสำคัญกับเราที่สุดเพราะไม่ว่าจะทุกช่องทางการขาย ยังไงเราก็ได้กำไร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตลาดอะไร ก้อจะปลอดภัย เพราะมี กำไรที่ 4.5 เท่าอยู่แล้ว

• การสร้างภาพสินค้า สร้าง story, content ที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เรื่องนี้สำคัญนะครับ ขายของออนไลน์ ลูกค้าเค้าไม่ได้มาคุยกับคุณตัวต่อตัว ดังนั้น มโนภาพสินค้าที่ดีมีคุณ (แต่ต้องเป็นความจริงนะครับ ให้เค้าได้อ่านได้ตัดสินใจ ยิ่งมีรีวิวที่ดี ทำให้เกิดความเชื่อมั่นครับ)

ปล.ฝากอีกข้อในการปิดการขายทางออนไลน์

ภาษาในการคุยสำคัญมาก

– ถ่อมตัว

– ไม่เถียง

– เพราะสุดท้ายแค่ 8 ข้อ ก้อแทบไม่ต้องคุยอะไรมากแล้วเพราะสินค้ามันจะขายได้ด้วยตัวมันเอง แค่รับออเดอร์และส่งสินค้าให้ทันเป็นพอครับ 
ปล.ขอให้ทุกท่านร่ำรวยจากการเริ่มต้นสร้างรายได้จากการขายสินค้าค้าผ่านระบบออนไลน์นะครับ 

“ดึงเงินจากฟ้ามาสู่ดิน” แล้วเข้ากระเป๋าเราให้ได้นะครับ ^^