Posts from the ‘Book review’ Category

Colorful — วันที่มองไม่เห็นสีอื่นใดในชีวิต

i_behind_you·

FollowPublished in“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”·2 min read·Oct 26, 20187

Colorful หมายถึงสีสัน

ถ้าให้บรรยายสีสันของชีวิต , สีที่มาโคโตะบรรยายคงมีแต่สีหม่นเทา-ดำ

ชีวิตมัธยมต้นที่เขาจับได้ว่าแม่มีชู้ , พ่อเห็นแก่ตัว , พี่ชายชอบกระแนะกระแหนปมด้อย และเด็กสาวรุ่นน้องม.2ที่เขาแอบชอบดอดเข้าโรงแรมม่านรูดกับชายสูงวัย

นิยายแบไต๋มาหมดทุกอย่างว่ามาโคโตะเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ถาโถมมาขยี้จนเขาแหลกสลายในวันเดียว

แล้ว ‘น่าจะ’ทำให้เขาฆ่าตัวตาย

‘วิญญาณ’ ดวงหนึ่งถูกลบความทรงจำ

ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครเป็นอะไรตาย แต่เขาได้รางวัลจากเทวดาให้เข้าไปสิงร่างมาโคโตะหลังจากมาโคโตะตายไม่กี่นาที

โจทย์ของ ‘วิญญาณ’ คือต้องใช้ชีวิตในร่างมาโคโตะต่อไป โดยเทวดาที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์บอกว่ามันเสมือนการฝึกอบรม และถ้าดำเนินชีวิตผ่านไปราบรื่น เขาก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วขึ้นสวรรค์หรือเกิดใหม่

วิญญาณกลับไปใช้ชีวิตในฐานะมาโคโตะแล้วเผชิญกับโลกที่เขาเรียกว่า

“สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย โดดเดี่ยวและน่าสมเพช”

เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยความลับในนิยาย Colorful โดย Mori Eto

(นิยายได้รับการแปลเป็นไทยสองครั้ง ครั้งแรกในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ครั้งล่าสุดใช้ชื่อตรงตัวว่า Colorful , เคยถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นและล่าสุดเป็นแรงบันดาลใจในการทำเป็นหนัง Homestay)

เมื่ออ่านมาถึงตอนเฉลยความลับใน Colorful ว่าวิญญาณก็คือมาโคโตะที่ถูกเทวดาลบความจำ

ผมคิดถึง It’s a Wonderful Life ทันที

ตัวละครนำทั้งสองเรื่องตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทั้งคู่มองเห็นแต่สีดำในชีวิตหลากสี มองเห็นแต่ความทุกข์จนมองไม่เห็นความสุข มองเห็นเรื่องร้ายจนมองไม่เห็นเรื่องดี

หลังฆ่าตัวตาย เทวดามอบโอกาสให้ได้ลองแก้ตัวด้วยการใช้ชีวิตใหม่ด้วยการมองโลกด้วยเลนที่ต่างไปจากเดิม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่หากเขาไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมา
  • มาโคโตะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกแบบเดิมแต่กลับไปในสภาพที่ถูกลบความจำ ปราศจากอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากการสะสมสิ่งขุ่นเคืองใจ

Colorful กับ It’s a Wonderful Life จึงเป็นเรื่องของ Second chance หรือโอกาสในการแก้ตัว

โอกาสครั้งนี้ทำให้ได้เห็นโลกส่วนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปที่ไม่เคยเห็นยามทุกข์รุมเร้า

มองเห็นสีสันของชีวิตที่มากไปกว่าเฉดเทาดำในยามเศร้าซึม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้เห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามีคุณค่าเคยช่วยผู้คนมากมายเพียงใด มีคนที่รักเขามากมายแค่ไหน
  • มาโคโตะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอะไรไปหลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ใช่มีแต่เขาที่แบกความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว

และที่เหนือกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ่อซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่เคยรู้ คือการเข้าใจผิดว่าชีวิต‘ถูกเอาเปรียบ’

แต่จริงๆแล้วไม่มีใครเอาเปรียบเขาเลย เขาแค่รายล้อมกับผู้คนที่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งทำให้เขาผิดหวัง

แม่มีชู้เป็นปัญหาของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กขี้เบื่อที่ไม่ยอมโต แต่แม่ก็รักเขา

พ่อมีปัญหาในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขายของหลอกลวงลูกค้า แต่พ่อก็รักเขา

ฮิโรกะมีปัญหาในการจัดการกับชีวิต แต่เธอก็ตรงไปตรงมาและไม่เคยคิดเอาเปรียบมาโคโตะเลย

แต่มาโคโตะเองตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าสะสม เหมารวมปัญหาของคนรอบกายมาไว้กับตัว ทับถมกับปัญหาสุขภาพจิตที่มีมาหลายปี

ไล่ย้อนไปนับตั้งแต่การถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆสมัยประถม

จากที่มาโคโตะเคยเป็นคนสำคัญที่เพื่อนมาขอให้วาดรูป จู่ๆกลับไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สูญเสียความมั่นใจ

ต่อด้วยถูกรังแกล้อเลียน (bully) ในชั้นเรียนจากเพื่อนนิสัยไม่ดีแล้วลามไปเป็นกลุ่มใหญ่

ครอบครัวคือที่พึ่งพา ศิลปะคือที่เยียวยา

แต่เขาก็ยังเก็บตัวมากขึ้น วาดรูปสีหม่นขึ้น ซึมเศร้าลงเรื่อยๆ คำว่า ‘ตาย’ผุดพรายมาในหัว

จนมาถึงวันที่เหตุการณ์น่าผิดหวังของคนรอบตัวถาโถมใส่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

จึงไม่แฟร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายของมาโคโตะมาจากครอบครัวหรือคนที่เขารัก

มันคือปัญหาของหลายสิ่งที่ประกอบรวมกันในวันที่คนๆหนึ่งมองเห็นโลกไม่เหมือนเดิม

แล้วถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ หากอยากมองเห็นสีสันที่มากขึ้น

Colorful กับ It’s a Wonderful Life ก็บอกผ่านตัวเอกมาว่า ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘การรับรู้’ ว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถช่วยเหลือได้แค่บอกว่า สู้ๆนะ มองโลกในแง่ดีเถอะ ฯลฯ

สำหรับคนที่ตกในภาวะ ‘โลกนี้ไม่น่าอยู่’ แบบตัวเอกสองเรื่องนี้ มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีสันหรือสิ่งดีๆ

(1) ความเครียดรุนแรง(Stress)ที่หนักหนาสาหัสจนรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้

(2) สาเหตุจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ

เพราะความเครียดรุนแรงคล้ายการติดอยู่ในอุโมงค์ที่ค่อยๆตีบตัน ตื่นขึ้นมาสมองก็คิดถึงแต่ ‘ปัญหา’ จนแทบไม่เหลือพื้นที่คิดถึงเรื่องดีๆที่เข้ามา

ความรู้สึกไร้หนทาง (helplessness) กับความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness) จะเริ่มสร้างผนังถ้ำกั้นสายตาไม่ให้เห็นอื่นใดนอกจากปัญหา

ในขณะที่โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีผลต่อสมองในด้านความคิดกับอารมณ์

แม้ไม่อยากเศร้าแต่ก็เลือกไม่ได้เพราะอารมณ์ก็รังแต่จะหดหู่ตามสารสื่อประสาทที่แปรปรวน เกิดความคิดแง่ลบผุดพรายขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องการ

สีสันของชีวิตที่เคยเห็นหลากหลายก็จะเหลือแค่เทา-ดำ

โชคดีสำหรับสองตัวละครที่มีเทวดาและ Magic มาบันดาลโลกใบใหม่ มาบันดาลโอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต

แต่ในโลกที่ไม่มี Magic , สิ่งที่จะช่วยมาโคโตะได้โดยไม่ต้องรอให้เขาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพยายามเปลี่ยนแปลง

แม่ที่คิดถึงใจคนในครอบครัวมากขึ้น

พ่อที่พยายามหาเวลาพูดคุยกับมาโคโตะมากขึ้น

พี่ชายที่ใส่ใจความรู้สึกของน้องชายมากขึ้น

แต่นั่นคงไม่พอ

เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถหวังพึ่งจาก ‘คนอื่น’

การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นจนสัมฤทธิผล ต้องเริ่มต้นจากตัวเอง

โลกของมาโคโตะน่าอยู่ขึ้นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

  • เริ่มต้นง่ายๆแบบไม่ต้องลึกซึ้งเช่น ตัดผมทรงใหม่ ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ใส่ความสนุกให้ชีวิตบ้าง
  • เริ่มต้นที่จะเข้าใจชีวิตเหมือนที่เทวดาสอนเช่นตอนที่เทวดาบอกว่า “นายอายุ 14 มันเร็วเกินไปที่จะช่วยใครได้ ส่วนการบังคับคนที่อยากไปทางโน้นให้มาทางนี้ ขนาดบอสชั้น(เทวดา)ยังทำไม่ได้เลย”
  • เริ่มต้นยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาส่วนตัวและไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่พ่อแม่ของเราเอง
  • เริ่มเข้าหาคนอื่นบ้าง เปิดใจพูดคุยบ้าง เปิดรับเพื่อนใหม่บ้าง เริ่มมองคนหรือมองโลกที่ไม่เคยมองบ้าง
  • และแน่นอนว่าตามที่เขาบรรยายเรื่องซึมเศร้าสะสม ซึ่งหากโลกจริงไม่มี magic ที่จะมาลบความทรงจำให้อาการเหล่านั้นหายแบบที่เทวดาทำ เขาก็ควรเข้ารับการบำบัดรักษาให้ดีขึ้น

เช่นเดียวกับโลกของพระเอกใน It’s a Wonderful Life จะน่าอยู่ขึ้นก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า เราไม่ใช่เฮอคิวลิสแต่คือคนธรรมดาๆที่ไม่สามารถแบกทุกๆปัญหาแล้วแก้มันได้ด้วยตัวเองการปรับทุกข์ ระบายหรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไว้ใจ ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย

ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวในชีวิตเรื่องเดียวไม่ได้ทำลายทุกสิ่งดีๆที่เขาเคยทำมา

และสุดท้ายต้องพยายามไม่จมไปกับปัญหาเรื่องเดียว จนปัญหานั้นเป็นสมอถ่วงชีวิตให้ติดอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน

i_behind_you·

FollowPublished in“ผมอยู่ข้างหลังคุณ”·2 min read·Oct 26, 2018

76

Colorful หมายถึงสีสัน

ถ้าให้บรรยายสีสันของชีวิต , สีที่มาโคโตะบรรยายคงมีแต่สีหม่นเทา-ดำ

ชีวิตมัธยมต้นที่เขาจับได้ว่าแม่มีชู้ , พ่อเห็นแก่ตัว , พี่ชายชอบกระแนะกระแหนปมด้อย และเด็กสาวรุ่นน้องม.2ที่เขาแอบชอบดอดเข้าโรงแรมม่านรูดกับชายสูงวัย

นิยายแบไต๋มาหมดทุกอย่างว่ามาโคโตะเผชิญกับเหตุการณ์เหล่านี้ถาโถมมาขยี้จนเขาแหลกสลายในวันเดียว

แล้ว ‘น่าจะ’ทำให้เขาฆ่าตัวตาย

‘วิญญาณ’ ดวงหนึ่งถูกลบความทรงจำ

ไม่รู้ว่าตัวเองคือใครเป็นอะไรตาย แต่เขาได้รางวัลจากเทวดาให้เข้าไปสิงร่างมาโคโตะหลังจากมาโคโตะตายไม่กี่นาที

โจทย์ของ ‘วิญญาณ’ คือต้องใช้ชีวิตในร่างมาโคโตะต่อไป โดยเทวดาที่เป็นตัวแทนจากสวรรค์บอกว่ามันเสมือนการฝึกอบรม และถ้าดำเนินชีวิตผ่านไปราบรื่น เขาก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วขึ้นสวรรค์หรือเกิดใหม่

วิญญาณกลับไปใช้ชีวิตในฐานะมาโคโตะแล้วเผชิญกับโลกที่เขาเรียกว่า

“สภาพแวดล้อมอันเลวร้าย โดดเดี่ยวและน่าสมเพช”

เนื้อหาถัดจากนี้เปิดเผยความลับในนิยาย Colorful โดย Mori Eto

(นิยายได้รับการแปลเป็นไทยสองครั้ง ครั้งแรกในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ครั้งล่าสุดใช้ชื่อตรงตัวว่า Colorful , เคยถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นและล่าสุดเป็นแรงบันดาลใจในการทำเป็นหนัง Homestay)

เมื่ออ่านมาถึงตอนเฉลยความลับใน Colorful ว่าวิญญาณก็คือมาโคโตะที่ถูกเทวดาลบความจำ

ผมคิดถึง It’s a Wonderful Life ทันที

ตัวละครนำทั้งสองเรื่องตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทั้งคู่มองเห็นแต่สีดำในชีวิตหลากสี มองเห็นแต่ความทุกข์จนมองไม่เห็นความสุข มองเห็นเรื่องร้ายจนมองไม่เห็นเรื่องดี

หลังฆ่าตัวตาย เทวดามอบโอกาสให้ได้ลองแก้ตัวด้วยการใช้ชีวิตใหม่ด้วยการมองโลกด้วยเลนที่ต่างไปจากเดิม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้ลองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่หากเขาไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมา
  • มาโคโตะได้กลับไปใช้ชีวิตในโลกแบบเดิมแต่กลับไปในสภาพที่ถูกลบความจำ ปราศจากอารมณ์ซึมเศร้า ปราศจากการสะสมสิ่งขุ่นเคืองใจ

Colorful กับ It’s a Wonderful Life จึงเป็นเรื่องของ Second chance หรือโอกาสในการแก้ตัว

โอกาสครั้งนี้ทำให้ได้เห็นโลกส่วนที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปที่ไม่เคยเห็นยามทุกข์รุมเร้า

มองเห็นสีสันของชีวิตที่มากไปกว่าเฉดเทาดำในยามเศร้าซึม

  • พระเอกใน It’s a Wonderful Life ได้เห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามีคุณค่าเคยช่วยผู้คนมากมายเพียงใด มีคนที่รักเขามากมายแค่ไหน
  • มาโคโตะได้รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดอะไรไปหลายอย่าง ได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และก็ไม่ใช่มีแต่เขาที่แบกความเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียว

และที่เหนือกว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ่อซึ่งไม่ได้เห็นแก่ตัวอย่างที่เคยรู้ คือการเข้าใจผิดว่าชีวิต‘ถูกเอาเปรียบ’

แต่จริงๆแล้วไม่มีใครเอาเปรียบเขาเลย เขาแค่รายล้อมกับผู้คนที่มีปัญหาส่วนตัวซึ่งทำให้เขาผิดหวัง

แม่มีชู้เป็นปัญหาของแม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กขี้เบื่อที่ไม่ยอมโต แต่แม่ก็รักเขา

พ่อมีปัญหาในที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการขายของหลอกลวงลูกค้า แต่พ่อก็รักเขา

ฮิโรกะมีปัญหาในการจัดการกับชีวิต แต่เธอก็ตรงไปตรงมาและไม่เคยคิดเอาเปรียบมาโคโตะเลย

แต่มาโคโตะเองตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าสะสม เหมารวมปัญหาของคนรอบกายมาไว้กับตัว ทับถมกับปัญหาสุขภาพจิตที่มีมาหลายปี

ไล่ย้อนไปนับตั้งแต่การถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆสมัยประถม

จากที่มาโคโตะเคยเป็นคนสำคัญที่เพื่อนมาขอให้วาดรูป จู่ๆกลับไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สูญเสียความมั่นใจ

ต่อด้วยถูกรังแกล้อเลียน (bully) ในชั้นเรียนจากเพื่อนนิสัยไม่ดีแล้วลามไปเป็นกลุ่มใหญ่

ครอบครัวคือที่พึ่งพา ศิลปะคือที่เยียวยา

แต่เขาก็ยังเก็บตัวมากขึ้น วาดรูปสีหม่นขึ้น ซึมเศร้าลงเรื่อยๆ คำว่า ‘ตาย’ผุดพรายมาในหัว

จนมาถึงวันที่เหตุการณ์น่าผิดหวังของคนรอบตัวถาโถมใส่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

จึงไม่แฟร์เท่าไหร่หากจะบอกว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายของมาโคโตะมาจากครอบครัวหรือคนที่เขารัก

มันคือปัญหาของหลายสิ่งที่ประกอบรวมกันในวันที่คนๆหนึ่งมองเห็นโลกไม่เหมือนเดิม

แล้วถ้าอยากให้โลกนี้น่าอยู่ หากอยากมองเห็นสีสันที่มากขึ้น

Colorful กับ It’s a Wonderful Life ก็บอกผ่านตัวเอกมาว่า ‘ความรู้สึก’ หรือ ‘การรับรู้’ ว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ไม่สามารถช่วยเหลือได้แค่บอกว่า สู้ๆนะ มองโลกในแง่ดีเถอะ ฯลฯ

สำหรับคนที่ตกในภาวะ ‘โลกนี้ไม่น่าอยู่’ แบบตัวเอกสองเรื่องนี้ มีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้สมองของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีสันหรือสิ่งดีๆ

(1) ความเครียดรุนแรง(Stress)ที่หนักหนาสาหัสจนรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้

(2) สาเหตุจากโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ

เพราะความเครียดรุนแรงคล้ายการติดอยู่ในอุโมงค์ที่ค่อยๆตีบตัน ตื่นขึ้นมาสมองก็คิดถึงแต่ ‘ปัญหา’ จนแทบไม่เหลือพื้นที่คิดถึงเรื่องดีๆที่เข้ามา

ความรู้สึกไร้หนทาง (helplessness) กับความรู้สึกสิ้นหวัง (hopelessness) จะเริ่มสร้างผนังถ้ำกั้นสายตาไม่ให้เห็นอื่นใดนอกจากปัญหา

ในขณะที่โรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลมีผลต่อสมองในด้านความคิดกับอารมณ์

แม้ไม่อยากเศร้าแต่ก็เลือกไม่ได้เพราะอารมณ์ก็รังแต่จะหดหู่ตามสารสื่อประสาทที่แปรปรวน เกิดความคิดแง่ลบผุดพรายขึ้นมาในหัวโดยที่ไม่ต้องการ

สีสันของชีวิตที่เคยเห็นหลากหลายก็จะเหลือแค่เทา-ดำ

โชคดีสำหรับสองตัวละครที่มีเทวดาและ Magic มาบันดาลโลกใบใหม่ มาบันดาลโอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต

แต่ในโลกที่ไม่มี Magic , สิ่งที่จะช่วยมาโคโตะได้โดยไม่ต้องรอให้เขาฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ครอบครัวของเขาพยายามเปลี่ยนแปลง

แม่ที่คิดถึงใจคนในครอบครัวมากขึ้น

พ่อที่พยายามหาเวลาพูดคุยกับมาโคโตะมากขึ้น

พี่ชายที่ใส่ใจความรู้สึกของน้องชายมากขึ้น

แต่นั่นคงไม่พอ

เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่สามารถหวังพึ่งจาก ‘คนอื่น’

การเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเกิดขึ้นจนสัมฤทธิผล ต้องเริ่มต้นจากตัวเอง

โลกของมาโคโตะน่าอยู่ขึ้นเพราะเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

  • เริ่มต้นง่ายๆแบบไม่ต้องลึกซึ้งเช่น ตัดผมทรงใหม่ ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ใส่ความสนุกให้ชีวิตบ้าง
  • เริ่มต้นที่จะเข้าใจชีวิตเหมือนที่เทวดาสอนเช่นตอนที่เทวดาบอกว่า “นายอายุ 14 มันเร็วเกินไปที่จะช่วยใครได้ ส่วนการบังคับคนที่อยากไปทางโน้นให้มาทางนี้ ขนาดบอสชั้น(เทวดา)ยังทำไม่ได้เลย”
  • เริ่มต้นยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาส่วนตัวและไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่พ่อแม่ของเราเอง
  • เริ่มเข้าหาคนอื่นบ้าง เปิดใจพูดคุยบ้าง เปิดรับเพื่อนใหม่บ้าง เริ่มมองคนหรือมองโลกที่ไม่เคยมองบ้าง
  • และแน่นอนว่าตามที่เขาบรรยายเรื่องซึมเศร้าสะสม ซึ่งหากโลกจริงไม่มี magic ที่จะมาลบความทรงจำให้อาการเหล่านั้นหายแบบที่เทวดาทำ เขาก็ควรเข้ารับการบำบัดรักษาให้ดีขึ้น

เช่นเดียวกับโลกของพระเอกใน It’s a Wonderful Life จะน่าอยู่ขึ้นก็ต่อเมื่อเขายอมรับว่า เราไม่ใช่เฮอคิวลิสแต่คือคนธรรมดาๆที่ไม่สามารถแบกทุกๆปัญหาแล้วแก้มันได้ด้วยตัวเอง

การปรับทุกข์ ระบายหรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไว้ใจ ขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย

ความพ่ายแพ้หรือล้มเหลวในชีวิตเรื่องเดียวไม่ได้ทำลายทุกสิ่งดีๆที่เขาเคยทำมา

และสุดท้ายต้องพยายามไม่จมไปกับปัญหาเรื่องเดียว จนปัญหานั้นเป็นสมอถ่วงชีวิตให้ติดอยู่กับมันทั้งวันทั้งคืน

เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม

เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม

วรรณกรรมอารมณ์สดใส เพื่อการมองโลกอย่างรื่นรมย์นิยายรางวัลซังเคยอดนิยมของวัยรุ่นญี่ปุ่น
Colorful หรือ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม เล่มนี้ เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ โมริ เอโตะเนื่องจากไม่เพียงได้รับรางวัล ยังทำสถิติเป็นหนังสือขายดีอันดับสองของญี่ปุ่นในปี 1998เพราะความอบอุ่นและอารมณ์ขันของเรื่องได้ชนะใจผู้อ่านหลากหลายวัย โดยเฉพาะวัยเรียนกับวัยรุ่น อีกทั้งเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งไม่แน่แปลกใจเลยหากทราบว่า…โมริ เอโตะ นั้นเป็นนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนชื่อดัง และเป็นเจ้าของรางวัลวรรณกรรมเยาวชนมากมายอาทิ รางวัลนักเขียนหน้าใหม่สำนักพิมพ์โคดันนะ รางวัลโนมะ รางวัลซังเค และรางวัลโรโบโนะอิชิ
เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม (Colorful)หนังสือมือสอง : เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผมผู้เขียน : โมริ เอโตะผู้แปล : วิยะดา คาวางุจิจำนวน : ๑๘๔ หน้าขนาด : ๑๖ หน้ายกพิเศษสำนักพิมพ์ : JBOOKพิมพ์ครั้งที่ : ๗เดือนปีที่พิมพ์ : กันยายน ๒๕๔๘

ดวงวิญญาณของผมกำลังล่องลอยอยู่บนฟ้า จู่ๆ เทวดาก็ประกาศว่าผมได้รับรางวัลจากสวรรค์ ให้เป็นผู้โชคดีจากแคมเปญโปรโมชั่นพิเศษสามารถกลับไปมีชีวิตบนโลกได้อีกครั้งแต่…ต้องอยู่ในร่างที่สวรรค์เลือกให้ คือ โคบายาชิ มาโคโตะโดยมีครอบครัวของมาโคโตะเป็น ‘ โฮมสเตย์’ และมีทูตสวรรค์แสนกลอย่างปูระปูระคอยเป็นพี่เลี้ยง
ว่าแต่ ‘ผม’ จะสามารถกลับมาดำเนินชีวิตในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขและพึงพอใจหรือไม่หนอในเมื่อครอบครัวโฮมสเตย์ของผมนั้นช่างเต็มไปด้วยปัญหาสารพันสารเพทั้งพ่อที่เห็นแก่ตัว แม่ตกงาน พี่ชายเย็นชา หนำซ้ำสาวที่ผมชื่นชอบก็มีพฤติกรรมน่าละอายแถมบรรดาเพื่อนๆ ก็ไม่คบผมอีกต่างหาก
มิน่าล่ะ…โคบายาชิ มาโคโตะ ถึงต้องฆ่าตัวตาย อำลาร่างกายซึ่ง ‘ผม’ มาอยู่แทนที่นี้…
เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม นิยายแนว Heart Warming Comedy
เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม จัดอยู่ในวรรณกรรมประเภท Heart Warming Comedy
หรือเรียกภาษาไทยได้ว่า “วรรณกรรมอารมณ์สดใส”
แม้ว่ามองเผินๆ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม เป็นนิยายเคร่งเครียดชวนเศร้าหมอง
ทั้งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายดูเหมือนจะเป็นเรื่องโศกนาฎกรรม
แต่ด้วยฝีมือของ โมริ เอโตะ นักเขียนวรรณกรรมเยาวชนมือรางวัล
ตลอดจนการผูกเรื่องของหนังสือเล่มนี้ทำได้ดีมาก

ชีวิตของ มาโคโตะ จึงพลิกผันจากอมทุกข์อันดำมืดมาพบเจอความสุข สนุกสนานหลากสีสันได้ซึ่ง โมริ เอโตะ ได้แสดงให้ผู้อ่านเห็นชัดเจนว่า บรรดาความอบอุ่นในครอบครัวและกำลังใจในการดำเนินชีวิตเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งไกลเกินเอื้อมเลยขอเพียงเรามองคนรอบข้างในแง่ดีขึ้น มองให้รอบด้านขึ้นที่สำคัญคือ สื่อสารกันมากขึ้น บนพื้นฐานของความรักและความปรารถนาดีต่อกัน
ซึ่งนับวันจะหดหายไปในสังคมที่เร่งรีบ การที่เราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวได้บนโลกใบนี้
เราต้องมีเพื่อน และการคิดฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหา

กลวิธีการแต่งเรื่องของ โมริ  เอโตะ น่าสนใจ เนื่องจากมีการสร้างตัวละครที่หลากหลายลักษณะทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนอารมณ์ของผู้อ่านอยู่ตลอดเวลา
มีทั้งเศร้า ขบขัน ลุ้นระทึก สร้างความฉงน และชวนติดตาม
ซึ่งการปรับเปลี่ยนอารมณ์ของเรื่องเช่นนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านทำความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ
ทั้งของผมและของมาโคโตะ ร่วมค้นหาและเป็นกังวลไปพร้อมๆ กับตัวละคร

หนังสือเล่มนี้มิได้เหมาะสำหรับเยาวชนแต่เพียงอย่างเดียว 
แต่ยังเหมาะสำหรับนักอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย 

เนื่องจากเนื้อหาในเรื่องอาจช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมุมมอง พฤติกรรมของวัยรุ่นเพิ่มขึ้น
อีกทั้งส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างวัยรุ่นกับผู้ใหญ่คือ ความไม่เข้าใจต่อกัน
ด้วยเหตุนี้หากเป็นไปได้ที่คนสองวัยเปิดใจทำความเข้าใจและเรียนรู้กันให้มาก
รวมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันอย่างไม่ปิดกั้นตัวเองจนเกินไป
ก็จะช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนสองวัยได้
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจที่ซ้ำรอยอย่างเช่นในกรณีของมาโคโตะ…

Eat That Frog กินกบตัวนั้นซะ

  
เพิ่งอ่านหนังสือ “Eat That Frog ” จบ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Brian Tracy ซึ่งเป็นนักเขียน นักพูด และนักฝึกอบรมด้านการพัฒนาตนเอง มีผลงานเขียนหนังสือเยอะมาก ทั้งหนังสือ Goals, Create Your Own Future และ Change Your Thinking Change Your Life
Eat That Frog พูดถึงวิธีการบริหารเวลาให้คุ้มค่าที่สุด และพูดถึงวิธีการที่จะทำให้ทำงานให้เสร็จ โดยใช้ “กบ” เป็นตัวสื่อถึงงานสำคัญที่ยาก ที่เรามักไม่อยากทำกัน แต่การกินกบตัวนั้นเป็นสิ่งแรกในเช้าของแต่ละวันนั้นเหมือนเป็นการก้าวผ่านสิ่งที่ยากและท้าทายที่สุดของวันไปแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป แถมยังมีพลัง ความภูมิใจในการใช้ชีวิตด้วย

แต่การกินกบเราต้องกินกบให้ถูกตัวด้วย Brian Tracy สอนให้เรากินกบตัวที่น่าเกลียดที่สุด ก็คือกบตัวที่ใหญ่ที่สุด ยากที่สุด และสำคัญที่สุด อันดับแรกของการเลือกกบคือการดูที่เป้าหมายของเราก่อนว่า เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ

วิธีการเขียนเป้าหมาย

เขียนเป้าหมายลงบนกระดาษเพื่อความชัดเจน เคยมีวิจัยว่าการเขียนเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้คนประสบความสำเร็จได้มากกว่า (อันนี้สอดคล้องกับ Sunni Brown ที่บอกให้วาดเป้าหมายของเราออกมาให้ชัดเจนเป็นรูปภาพเลย จินตนาการเลยว่าเมื่อเราบรรลุเป้าหมายแล้วเราจะเป็นยังไง)

เขียนในรูปปัจจุบันเหมือนว่าเราได้ทำมันสำเร็จแล้ว เช่น เป้าหมายของปี 2013 คือการเก็บเงินให้ได้ 1ล้าน เราก็ต้องเขียนว่า “ฉันมีเงิน 1ล้านบาทในวันที่ 31 ธันวาคม 2013” เป็นต้น

ใช้คำพูดในแง่บวก

เขียนโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ว่า “ฉัน” อย่างโง้นอย่างงี้

(เติมเองว่า) ระบุชัดเจน วัดได้ เช่น ถ้ามีเป้าหมายคือลดน้ำหนักก็ให้เคยเลยว่า “ฉันน้ำหนัก 50 กิโลกรัมในวันที่ xxx” เป็นต้น

(เพิ่มเอง) ถ้าคิดไม่ออกให้เขียนเป้าหมายในด้านต่างๆ ของชีวิต คือ ด้านหน้าที่การงาน, ครอบครัว, การเงิน, สุขภาพ, การพัฒนาตนเอง, สังคมและชุมชน หรือคิดว่าตอนนี้มีปัญหาอะไรที่เครียดที่สุด

ได้แล้วก็เลือกมา 1 ข้อที่จะทำให้เกิดผลดีที่สุดต่อชีวิต

เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วเราก็จะรู้ว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไปบ้างเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ ให้เราใช้เวลานิดหน่อยในแต่ละวันก่อนนอนวางแผนเลยว่าวันพรุ่งนี้เราต้องทำอะไรบ้าง การวางแผนไว้ก่อนนอนมีข้อดีที่ทำให้เวลาเราตื่นนอนมาก็จะมีความเข้าใจ มีความคิดไอเดียที่จะทำงานนั้นได้มากขึ้นเพราะสมองเรารู้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะทำอะไร เวลาเรานอน สมองมันไม่ได้หยุดไปด้วยมันก็จะคิดอะไรของมันไป บางทีตื่นขึ้นมาเราอาจจะปิ๊งได้ไอเดียขึ้นมาเลยก็ได้

ใช้กฎ 80/20 หลักการพาเรโต

งาน 20% ของงานทั้งหมดจะทำให้เกิดผลลัพท์ 80% ของผลลัพท์ทั้งหมด ดังนั้นก่อนที่เราจะทำงานให้เราดูก่อนว่างานนี้ทำให้เกิดผล 80% ต่อรึเปล่าชีวิตการงานหรือเป้าหมายในชีวิตของเรารึเปล่า

ใช้หลัก ABCDE ในการจัดลำดับความสำคัญ

โดยงาน A เป็นงานที่สำคัญที่สุด B เป็นงานที่ควรทำ C คืองานที่ทำได้ก็ดี D เป็นงานที่ให้คนอื่นทำแทนได้ E คือช่าง(งาน) มันเถอะได้ เมือเรารู้ว่างานเราอยู่ในหมวดไหนบ้างแล้วก็ให้ความสำคัญกับงานที่อยู่ในประเภท A ก่อนเลย

“ทำไมบริษัทถึงจ้างฉัน”

สำหรับพนักงานบริษัทวิธีการที่จะทำให้เรารู้ว่าเราควรเลือกทำงานไหนก่อนได้นั้นก็คือการถามคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมบริษัทถึงจ้างฉัน” คำตอบก็คือหน้าที่หลักที่เราต้องทำและให้ความสำคัญ ซึ่งมักเป็นงานที่จะให้ผลกับเรามากที่สุดเช่นกัน

พอเลือกงานที่เราควรทำเป็นอย่างแรกได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่เราต้อง “ทำ” ส่วนใหญ่คนมาตกม้าตายกันตรงนี้แหล่ะเนอะ (เตยด้วย) Brian Tracy ก็แนะนำว่า ก่อนทำก็ให้เตรียมทุกอย่างที่ต้องใช้ในการทำงานให้เรียบร้อย ทำโต๊ะให้สะอาดๆ เบอร์โทรหรือของอะไรที่ต้องใช้ก็เอามาไว้ใกล้ๆ เตรียมไว้ให้พร้อม แล้วก็ค่อยๆ ทำไป

หั่นงานเป็นชิ้นๆ

งานที่เป็นโปรเจคใหญ่ หรืองานชิ้นใหญ่เราก็หั่นมันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆ ทำไปทีละชิ้น วิธีการนี้จะทำให้เราทำงานได้เยอะมากขึ้นเพราะเราจะรู้สึกว่า นิดเดียวเดี๋ยวก็ทำเสร็จแล้ว พอทำเสร็จเรารู้สึกดี มั่นใจขึ้นเราก็ทำชิ้นเล็กชิ้นอื่นๆ ต่อไปได้จนหมด

หาช่วงเวลาที่ทำงานได้ดีที่สุด

คนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจชอบทำงานตอนเช้าๆ เงียบๆ บางคนชอบทำงานตอนเย็นๆ เราก็ต้องดูว่าเราชอบทำตอนไหน เวลาไหนที่ทำแล้วได้ผลมากที่สุด เราก็เลือกเอางานยากๆ ไปทำในช่วงนั้นค่ะ และควรกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนในการทำงานด้วยนะคะ เคยอ่านใน Lifehacker ก็จะบอกว่าให้บอกทุกคนไปเลยว่าช่วงเวลาไหนที่เราจะทำงาน เธออย่ามากวนฉันช่วงนั้น

ปิดอุปกรณ์สื่อสารบ้าง

หัวข้อนี้เหมาะกับเรามากๆ เดี๋ยวนี้มีสมาร์ทโฟน มี Social Network เยอะมากๆ หรือแม้แต่พวก Instant Message อย่าง Gtalk ที่เมื่อก่อนเตยเคยเปิด Tab ไว้ในหน้าเดียวกับ Gmail แต่ปรากฎว่ามีปัญหามากเพราะคนทักมาเรื่อยๆ คราวนี้งานการไม่ต้องทำแร่ะ นั่งเม้าท์อย่างเดียว บางทีไม่มีคนทักแต่เป็นว่ามันเงียบๆ ก็ไปทักเค้างี้ 555 หรือ Facebook เองที่มี notification เด้งตลอดเวลา จนวันนึงทนไม่ไหวก็เลยแก้ปัญหาซะ

เอา Tab ของ Gtalk ออกจากหน้าอีเมล์

เมล์ Notification ของ Facebook ก็ Filter เมล์ให้ไปอยู่ใน folder ของ Facebook

พวกกรุ๊ปใน Facebook ก็ปิด Notification ไป

Twitter ก็ปิดอีเมล์ว่าไม่ต้องส่งเมล์มาแล้ว

แต่ Facebook กับ Twitter เปิด notification ในมือถือให้มันเตือนมา แต่ตั้งมือถือเป็นแบบสั่น พอมันเตือนมาก็ไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่องอยู่ดีถ้าไม่ได้ใช้มือถือ 5555

Google plus ก็ปิด notification แต่มันยังมีหลงๆ ส่งมาอยู่นานๆ ที

Line ถ้าเป็นกรุ๊ปหรือแบรนด์ต่างๆ ปิด Notification หมดเลย ใครส่งเกมมาบ่อยๆ ก็ปิดให้หมด 5555

อีเมล์ ส่วนใหญ่เค้าจะแนะนำให้เปิดอ่านให้เป็นเวลา แต่สำหรับไม่ค่อยมีผลเพราะเมล์ไม่เยอะมาก ก็ใส่ filter ไว้ว่าให้ติด Label ว่าอะไรพอกดอ่านเสร็จก็ Archive โลด

พวก Newsletter เราก็ใส่ filter ไว้แล้วให้มันไปอยู่ตาม folder เลย เว้นแต่อันที่เราชอบจริงๆ 555

ถ้า Newsletter ไหนไม่น่าสนใจ อย่างพวก Ensogo, Groupon ที่เราดูแล้วว่าเราอ่านไปก็มีแต่เสียเงินก็ Unsubscribe (แต่บางเว็บมันไม่ยอมให้ Unsubscribe เราก็กดเป็น Spam ซะเลย!

ผลของการปิด Notification คือ งานเสร็จมากขึ้น มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น Brian Tracy พูดเหมือน Tim Ferriss คนเขียนหนังสือ 4-Hour Workweek ไว้อย่างนึงคือ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในโลกนี้ก็ได้นะ ข่าวสารไหนที่มันสำคัญจริงๆ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกเราเองแหล่ะ เหมือนอีเมล์ถ้าเมล์ไหนสำคัญจริงๆ ก็จะมีคนมาติดต่อเรามาอีกทีเองแหล่ะ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เมล์ไหนเราไม่ตอบเดี๋ยวก็มีคนโทรมาตามเอง 5555

มุ่งมั่นและจดจ่อในการทำงาน

การทำงานแบบทำๆ หยุดๆ อาจยืดระยะเวลาในการทำงานออกไปถึง 500% เพราะเราต้องคอยมาทบทวนสิ่งที่เราทำมาแล้ว ดังนั้นการที่เรา Focus กับงานให้เสร็จไปทีละอย่างนั้นจะประหยัดเวลาของเราได้มากกว่า

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องไม่มีเวลาให้ที่บ้าน ไม่มีเวลาทำงาน ไม่มีเวลาๆ บลาๆๆๆ จริงๆ แล้วคนเราก็มีเวลาเท่ากันนั่นแหล่ะ หนังสือ Eat that frog ของ Brian Tracy น่าจะช่วยได้บ้างนะ

ข้อคิดจากหนังสือ “กรรมของนักเล่นหุ้น

== ข้อคิดจากหนังสือ “กรรมของนักเล่นหุ้น” ==หนังสือเล่มนี้เขียนโดยทันตแพทย์สม สุจีรา เป็นหนังสือออกแนวจิตวิทยาการลงทุนที่บอกว่า เจ้ากรรมนายเวรเป็นความรู้สึกที่แฝงอยู่ในจิตของเรา (เรียกว่า “เจตสิก”) ถ้าวันไหนมีเหตุมีปัจจัยเหมาะสมมันก็จะแสดงอาการออกมาทำให้กลัว โลภ โกรธ หลง เชื่อ ลังเล ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ทำให้เราตัดสินใจซื้อหรือขาย “หุ้น” ส่วนผลที่ตามมาในการชดใช้กรรมมีได้ตั้งแต่ กำไร ขาดทุน ตกรถ ติดดอย ขายหมู รับมีด

“สติ” คือ สิ่งสำคัญที่จะมาช่วยเราแก้กรรม และทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในตลาดหุ้นได้ โดยที่คุณหมอกล่าวไว้ว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกรรมยังมีสติ” และนี่คือสิ่งทีผมได้เป็นข้อคิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ

** 20 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือกรรมของนักเล่นหุ้น **

1) “ตกรถ” เพราะเอาจิตไปยึดติดกับอดีตว่าราคาหุ้นเคยต่ำกว่านี้มาก่อน กลัวว่าเราจะซื้อที่ราคาสูงไปแล้ว แต่สิ่งที่เราควรทำคือมองไปที่อนาคตว่า หุ้นตัวนี้ยังไปต่อได้อีกมั้ย ถ้ามีแนวโน้มขึ้นต่อ “การซื้อแพงแล้วไปขายแพงกว่า” ก็จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง 

2) คนที่เก่งในการทำนายอดีต ทุ่มเงินทั้งหมดลงไปในจินตนาการ ไม่มีประโยชน์อะไรในการเล่นหุ้น เช่น เราเคยเห็นหุ้นตัวนึง 5 บาท หนึ่งปีถัดมากลายเป็น 15 บาท เราคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราซื้อหมดตัวได้กำไร 3 เท่า แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้ซื้อที่ 5 บาท เราก็คงจะขายไปตั้งแต่ 6-8 บาทแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

3) “การซื้อหุ้นถูกตัว ไม่สำคัญเท่ากับการซื้อหุ้นถูกจังหวะ” ช่วงเวลาทีดีที่สุดในการซื้อคือช่วงที่คนในตลาดกำลัง “เจ็บใจ” หลังจากทุกคน “ตื่นกลัว” และขายหุ้นออกไปจนหมดแล้ว และให้ไปขายในช่วงที่ทุกคน “มั่นใจ” เปรียบเหมือนกับปลาที่หาอาหารเก่งต้องว่ายทวนน้ำฉันใด คนที่เล่นหุ้นเก่งก็ต้องทวนกระแสฉันนั้น แต่ไม่ใช่ทวนแบบหน้ามืดตามัว ต้องดูจังหวะด้วย

4) “การขายหมูทำให้เสียดาย แต่การติดดอยทำให้เสียใจ” ขายหมูยังเหลือเงินสดไปไล่หมูตัวอื่น ขอแค่อย่าขายหมูไปซื้อควาย แต่ติดดอยทุกข์ทรมาน มัวแต่รอว่าสักวันจะกลับมากไร ให้พึงระลึกไว้เสอว่า “งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา” ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นเน่าจริง ๆ ควรตัดใจขายทิ้ง แล้วออกไปตามหาช้างจะดีกว่า

5) การเล่นหุ้นคือการต่อสู้กับใจของตัวเอง ถ้าเอาชนะความอยากของตัวเองได้ โอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก อย่าเอาอารมณ์ของตลาดมาเป็นอารมณ์ของตัวเอง จงตระหนักในวันที่ตลาดตระหนก จงตื่นตัวในวันที่ตลาดตื่นกลัว

6) ถ้าในพอร์ตมีหุ้นติดดอยอยู่มาก จะเหนี่ยวนำให้เกิดการขายหมูตัวอื่น เพราะเราจะเกิดความกลัวว่าหุ้นตัวอื่นจะตก กลายเป็นความรู้สึกเชิงลบ เข้าทำนองที่ว่า ส้มในกล่องเน่าหนึ่งลูกมันจะพาลทำให้ส้มลูกอื่นเน่าเร็วไปด้วย ดังนั้น คุณก็แค่หยิบส้มลูกที่เน่าทิ้งไป ไม่ใช่เก็บลูกเน่าแต่ทิ้งลูกที่ดี

7) รับมีด เกิดจากความโลภ เพราะเห็นราคาลง 10% แปลว่าโอกาสในการทำกำไรก็ต้องเท่ากัน โดยไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมประกอบ ทำให้สวนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ กลายเป็นประสานงากับรถสิบล้อแทน 

8) คนที่เจ็บปวดกับการตกรถมีโอกาสที่จะรับมีดหุ้นตัวเดิมสูง เพราะคิดว่ารถถอยลงมารับ ทำให้ตัดสินใจกระโดดเข้าไปขณะที่คนอื่นกำลังก้าวลงจากรถ และความจริงก็คือรถกำลังจะลงเหว อย่าให้มีความรู้สึกว่า เสียดายหรือแค้นต้องเอาคืน เพราะเรากำลังใช้อารมณ์ทำให้ผิดพลาดได้ ทางที่ดีคือให้มองหารถคันใหม่แล้วไปรอขึ้นที่ชานชาลาดีกว่า

9) ถ้าคิดจะ “รับมีด” ให้เปลี่ยนเป็น “ลับมีด” เพื่อฟันที่ราคาต่ำ ๆ ให้ดูหุ้นสัปดาห์ละครั้งแล้วเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไม่ทันตราบใดที่ยังเป็นขาลงอยู่

10) ความใจร้อนไม่เคยทำให้ใครประสบความสำเร็จ การตัดสินใจเร็วไป 4 ครั้ง มีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 3 ครั้ง เพราะฉะนั้น จงใจเย็นแม้จะทำให้พลาดบ้างเป็นบางครั้ง แต่ผลตอบแทนที่เหลือจะมาชดเชยสิ่งที่พลาดไปเอง

11) หุ้นมีนิสัยเหมือนมนุษย์ หุ้นขี้เกียจ ซื้อขายวันละหลักร้อยหุ้น หุ้นขี้ตกใจ เกิดข่าวร้ายนิดหน่อย ราคาตกลงมากกว่าตลาด หุ้นขี้เหนียว กำไรเยอะแต่ปันผลนิดเดียว หุ้นขี้โม้ มีสารพัดโครงการแต่ทำไม่ได้จริงซักที แต่หุ้นที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงคือ “หุ้นขี้โกง” ที่มีผู้บริหารนิสัยโจรปะปนอยู่

12) ทุกคนควรวิเคราะห์ตัวเองว่าผิดพลาดแบบไหนแล้วไปแก้ไขที่จุดนั้น คนที่ชอบขายหมู แสดงว่าดีใจมากเกินไปเวลาหุ้นขึ้น คนที่ติดดอยมีความกล้าบ้าบิ่น คนที่ตกรถเป็นคนขี้กลัว ระแวง ส่วนคนที่ชอบรับมีดมีความโลภและคิดว่าราคาที่ตกลงมาคือกำไรที่ซื้อได้ถูกลง

13) ความฝันของนักลงทุน คือ การสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต แต่ถ้าจิตยังเหมือนเดิม ถึงย้อนเวลากลับไปได้จริง การตัดสินใจก็จะไม่ต่างไปจากเดิม พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรากำหนดสติเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกที่ปัจจุบัน และอนาคตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่ต้องแก้คือจิตไม่ใช้การประดิษฐ์เครื่องย้อนเวลา

14) การยอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อตัดสินใจผิด ทำให้สามารถเรียนรู้วิธีที่จะชนะได้ ให้เราถอยออกมามองภาพใหญ่เหมือนโค้ชที่อยู่ข้างสนามจะเห็นภาพโดยรวมชัดกว่านักเตะที่อยู่ในสนาม คอยมองหาจุดอ่อนและข้อผิดพลาดของตัวเองไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่น … แน่นอนว่าความพ่ายแพ้มันเจ็บปวด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นแรงขับว่าสักวันต้องกำไร แล้วพยายามแก้ตัวใหม่ ส่วนใหญ่ถ้ายังสู้ต่อจะจบลงด้วยชัยชนะอย่างถาวร

15) คนเราทุกคนเกิดมาต้องมีความถนัดอย่างใดอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ หาให้เจอและดึงจุดนั้นมาใช้ในการลงทุน ถ้าคุณถนัดว่ายน้ำแล้วไปวิ่งแข่งคุณก็จะแพ้ คนเราไม่ต้องเก่งหลายอย่าง ขอแค่อย่างเดียว แต่เอาให้เก่งสุด ๆ ไปเลย เหมือนที่วอร์เรน บัฟเฟต เคยบอกว่า “ในการเล่นเบสบอลไม่จำเป็นต้องตีทุกลูก แต่เวลามีลูกที่คุณถนัด ต้องตีให้แรง และให้ตรงที่สุด”

16) ตัด “ความอยาก” ออกให้หมดให้เหลือแต่ “ความเชื่อ” เหมือนนักกีฬาที่ทุกคคนต้องอยากชนะ แต่เมื่อฝึกซ้อมหนักมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเกิดความเชื่อว่าจะชนะมากขึ้นเท่านั้น เหมือนเราเล่นหุ้นซื้อปุ๊บก็อยากให้ขึ้นปั๊บ อดทนรอไม่ได้ แต่ถ้าเรามีความเชื่อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก จะทำให้อดนรอคอยความสำเร็จของหุ้นตัวนั้นได้ 

17) พลังแห่งความรู้สึกสูงกว่าพลังแห่งความคิดมากจนเทียบไม่ได้ เช่น บางคนหักห้ามความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ความคิดรู้ว่าจะทำให้เป็นมะเร็ง เพราะความรู้สีกเป็นกรรมเก่า ส่วนความคิดเป็นกรรมปัจจุบัน วิธีเดียวที่จะเอาชนะได้คือ การฝึกสติสัมปชัญญะให้มีกำลังกล้าแกร่งพอที่จะสู้กับความรู้สึกนั้นได้

18) การดูให้เห็นอาการโดยปราศจากอารมณ์ จะทำให้หยั่งรู้เห็นความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่ ดูให้เห็นว่าหุ้นขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ดีใจ ดูให้เห็นว่าหุ้นตกโดยไม่ต้องกังวล อย่าเอาใจเข้าไปรับ เป็นการเห็นแบบ “ปรมัตถ์” คือ สนใจกับอาการที่ปรากฏเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ต้องเอาจิตเข้าไปปรุงแต่งให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน (ตัวกูของกู) แยกสติออกไปจับอาการและทำความเข้าใจในธรรมชาติของมัน

19) ถ้ามีอารมณ์เกิดขึ้นไม่ต้องรีบไปหยุดมันทันที ให้ใช้สติเฝ้าดูเหมือนเหยียบเบรก ABS ที่ค่อย ๆ หยุดล้อให้หมุนและจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เคล็ดลับก็คือ อย่าไปอยากให้อารมณ์มันหาย เพราะถ้ายิ่งอยากมันจะไม่หาย แต่อารมณ์มันขี้อาย พอรู้ว่าเราจ้องมันอยู่ มันจะหลบไปทันที ค่อย ๆ ฝึกสติตามดูอย่างจดจ่อ โดยไม่คิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ อารมณ์นั้นจะค่อยๆ เลือนหายไปเอง

20) วันใดที่ได้กำไรและเหลือเงินเก็บในระดับที่พอใจแล้ว ให้ขายหุ้นทิ้งให้หมด คุณจะพบว่า ชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวายกับข่าวสารของโลก ไม่ต้องตื่นกลัวกับเรื่องร้าย ๆ ในประเทศ เป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ปราศจากกิเลศ ตัณหาที่เร่าร้อน

ผมคิดว่า 20 ข้อคิดนี้น่าจะเป็นบทเรียนสอนใจให้เราอยู่รอดปลอดภัยในตลาดหุ้นอย่างมีสติ และโดยปกติผมมักจะยึดหลัก 1 BOOK 1 LESSON ที่พี่หนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ Money Coach บอกว่า ให้นำบทเรียนที่ได้จากหนังสือ 1 เล่ม สัก 1 เรื่อง มาปฏิบัติใช้ให้ได้ผลจริงกับชีวิต แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับตัวเอง สำหรับผมอยากไปฝึกนั่งสมาธิให้ได้ทุกวันสักวันละ 10 นาทีก่อน เพื่อให้ตัวเองมีสติมากขึ้นและสามารถจับอาการหุ้นได้โดยปราศจากอารมณ์ 

ลองไปหา 1 book 1 lesson ของคุณดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีประโยชน์จริงๆ 

.

#กรรมของนักเล่นหุ้น #จิตวิทยาการลงทุน #onebookonelesson #วิตามินหุ้น

  
คุณชอบอ่านหนังสือที่สนุกหรือมีประโยชน์นำไปใช้ได้จริงมากกว่ากัน?

ถ้ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่ทั้งอ่านสนุกและมีประโยชน์นำไปใช้ได้จริงล่ะ?

(**หมายเหตุ** พิมพ์ครั้งที่ 2 เปลี่ยนชื่อเป็น “ชีวิตผมเปลี่ยนไปเมื่อได้เทพช้างเป็นกุนซือ”)

=ภาพรวม=

คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่พวกเราอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองแล้วก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง?

แน่นอนว่าแต่ละคนคงมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่จากการสังเกตของผู้วิจารณ์ก็คือ  

1) เราอ่านแล้วสักพักก็ลืม ตามกราฟแสดงการลืมของเอบบิงเฮาส์พบว่า ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น เราก็จะยิ่งลืมมากขึ้น และในเมื่อลืม ก็ไม่สามารถนำไปลงมือทำได้

2) สมองไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันจึงสร้างกลไกต่าง ๆ มาโน้มน้าวเราด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือว่า ทำไปก็เท่านั้น ในที่สุดเราก็จะลงเอยด้วยการไม่ลงมือทำอะไร

ผู้เขียนหนังสือ “เทพช้างสอนคิด” นี้จึงเขียนแบบแผนซ้อนแผนที่แก้เกมจุดอ่อนของสมองเราไว้ได้อย่างเหนือชั้น

ประการแรก ผู้เขียนวางหมากแก้ลืมเอาไว้ โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าสมองจะจำข้อมูลได้ดีกว่าถ้าข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบของเรื่องราวต่าง ไม่ได้เป็นข้อมูลน่าเบื่อที่แยกเป็นข้อ ๆ    

นอกจากนั้นสมองจะจำได้ดีเวลาเราหัวเราะและอารมณ์ดี  

ดังนั้นผู้เขียนจึงผูกเรื่องราวการพัฒนาตนเองขึ้นมาเล่าเป็นนิยายที่สนุก ๆ ปนอารมณ์ขัน เป็นเรื่องของการที่เทพช้างสอนเคล็ดลับความสำเร็จให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง

ประการที่สอง ผู้เขียนมองเห็นรูปแบบของ “ความไม่สามารถลงมือทำ” ของคนเราค่อนข้างชัดเจน จึงเขียนในรูปแบบที่ช่วยให้เราลงมือทำได้ง่ายขึ้น เช่น เริ่มทำในสิ่งเล็ก ๆ ที่สมองไม่ต่อต้านก่อน

แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมพอที่จะให้ความพึงพอใจเมื่อทำสำเร็จ ความพึงพอใจที่ว่าคือสารโดพามีนที่สมองหลั่งออกมา ซึ่งจะจูงใจให้ผู้นั้นอยากลงมือทำอีก

นอกจากนี้สมองยังชอบ “เส้นตายที่ชัดเจน” เนื้อเรื่องจึงผูกเป็นเหมือนคำสั่งหรือภารกิจง่าย ๆ ที่ต้องทำให้ได้ภายใน 1 วัน  

ซึ่งเหล่าภารกิจเล็ก ๆ ในเล่มนี้นั้นเมื่อมารวมกันแล้วก็จะกลายเป็นการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน

ผู้วิจารณ์อ่านแล้วพบว่า ถ้าเราอ่านแล้วลองทำตามคำแนะนำของ “เทพช้าง” ในแต่ละวันติดต่อกันจนครบทุกอย่างในเล่ม ชีวิตเราจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน  

จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าเรามีวินัยที่จะทำตามมากแค่ไหน

=น่าสนใจจากในเล่ม= 

* ซุซุกิ อิจิโร่ นักเบสบอลอาชีพชาวญี่ปุ่นที่ข้ามไปเป็นดาวรุ่งของเมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา จะนั่งขัดถุงมือหลังการซ้อมและการแข่งทุกครั้งในห้องล็อคเกอร์แม้เพื่อนทุกคนจะกลับบ้านไปแล้ว    

เขาทำอย่างนั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กประถม โดยให้เหตุผล่า “เราต้องทะนุถนอมเครื่องมทำมาหากินของตัวเองซึ่งถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์”

เครื่องมือในการทำมาหากินของคุณคืออะไร? จงไปใส่ใจทะนุถนอมดูแลมันอย่างดีด้วยความรู้สึกขอบคุณ

* อุปสรรคหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่ประสบความสำเร็จคือ “การไม่รับฟังผู้อื่น” เพราะมัวแต่ “ยึดติดอยู่กับกรอบความคิดของตัวเอง”

* คนที่จะได้เป็นเศรษฐี มักจะเป็นคนที่อยากทำให้คนอื่นมีความสุขจากใจจริง  

มัตสึชิตะ โคโนะสุเกะ ผู้ก่อตั้งพานาโซนิค เคยคิดไว้สมัยวัยเยาว์ว่า “จะกำจัดความยากจนให้หมดสิ้นไปจากสังคม” แล้วก็ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกที่ใคร ๆ ก็ซื้อหามาใช้ได้ขึ้นมา

* เฮนรี่ ฟอร์ด บิดาแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ เคยกล่าวว่า “ถ้าผมถามลูกค้าว่าอยากได้อะไร พวกเขาคงตอบว่า อยากได้ม้าที่วิ่งเร็วขึ้น”

สิ่งที่ฟอร์ดต้องการสื่อก็คือ ในการเติมเต็มความต้องการของคนอื่น เราต้องไม่คอยไปถามว่า “คุณอยากได้อะไร” เพียงอย่างเดียว เพราะเขาเองอาจตอบไม่ได้ แต่เราต้องเป็นฝ่ายคิดเองแล้วนำเสนอสิ่งนั้นให้เขา

(สตีฟ จ็อบส์ ก็คิดอย่างนั้นตอนพัฒนา iphone ขึ้นมา — ผู้วิจารณ์)

* ดังนั้น หนึ่งในภารกิจที่เราต้องทำคือ หมั่นรู้ทันความต้องการของคนอื่น

* คนที่ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากมีอารมณ์ขันกันทั้งสิ้น เช่น ไอน์สไตน์ เป็นต้น

* เวลาว่างหลังเลิกงานคือ “ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด” เราจะประสบความสำเร็จในอนาคตหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เวลาเหล่านั้นไปทำอะไร ควรใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุด

* การที่จะมีเวลาทำอะไรที่ดีต่อชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองได้นั้นต้องมีเวลา คนเรามีเวลาจำกัด  

ดังนั้น ให้ลองคิดดูว่าเราสามารถ “เลิก” ทำอะไรได้บ้าง 1 อย่างในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้มีเวลามากขึ้น เช่น เลิกดูโทรทัศน์ เลิกเล่นคอมพิวเตอร์หรือมือถือเรื่อยเปื่อย เป็นต้น

* การที่จะพัฒนาตนเองให้ได้ต่อเนื่องไปนาน ๆ ต้องทำด้วยความรู้สึกสนุก 

วิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือ ก่อนนอนให้นึกถึงเรื่องที่ตนเองมุ่งมั่นตั้งใจทำในวันนั้น แล้วชมตัวเองว่า “ทำได้ดีมาก” (สมองชอบให้ชม – ผู้วิจารณ์) อย่าเอาแต่นึกถึงเรื่องที่ทำได้ไม่ดีแล้วคอยแต่ตำหนิตนเอง

* การทำอะไรสบาย ๆ มักไม่ค่อยให้ผลดีอะไรกับตัวเรานัก 

เช่น ถ้าอยากเพิ่มกล้ามเนื้อ เราก็ต้องบริการกล้ามเนื้อจนเต็มกำลังก่อน ดังนั้นถ้ายังอยากดูโทรทัศน์ ก็ต้องฝึกคิดวิเคราะห์ตามด้วยเหตุผลไปด้วย ก็จะสามารถเรียนรู้ได้เหมือนกัน  

* การจะเปลี่ยนแปลงตนเอง อย่าพยายามเปลี่ยนเพียง “ความคิด” แต่ต้องเปลี่ยน “บางอย่างที่เป็นรูปธรรม” ด้วย

เช่น ถ้าจะเลิกดูโทรทัศน์ ก็ให้กำจัดโทรทัศน์ไปเลย เรียกว่าเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างต่อเนื่อง (เช่น เอาเวลาที่จะดูโทรทัศน์ไปอ่านหนังสือแทน)

* เสื้อผ้าก็ถือเป็นสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้

นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยพูดไว้ว่า “คนเราเปลี่ยนแปลงบุคลิกไปตามเสื้อผ้าที่สวมใส่”  

เสื้อผ้าส่งผลต่อจิตใจคนใส่ ถ้าเราสวมเสื้อผ้าที่ทำให้เรามั่นใจในตนเอง การกระทำและคำพูดของเราก็จะเปลี่ยนไป

* ถึงจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเรา แต่เราก็ต้องพยายามคิดว่า “โชคดี” เอาไว้ก่อน แม้เราจะไม่ได้คิดอย่างนั้นจริง ๆ ก็ตาม ถ้าพูดออกมาได้เลยยิ่งดี

เพราะเมื่อทำอย่างนั้น สมองจะเริ่มค้นหาความโชคดีเอง มันจะพยายามเรียนรู้บางอย่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

* คนส่วนใหญ่มักชื่นชมผลสำเร็จ แต่แทบไม่มีใครสนใจกระบวนการสร้างความสำเร็จนั้นเลย  

การที่ซุนวูเคยบอกว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” แท้ที่จริงก็หมายถึงการต้องเตรียมการล่วงหน้าไว้ให้พร้อมนั่นเอง เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดผลแพ้ชนะ

ดังนั้น จึงต้องเตรียมตัวสำหรับการทำงานในวันถัดไปทุกวัน

* คนเรามักอยากอยู่ใกล้คนที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้น คนที่สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองได้ก็จะได้รับแรงใจและการสนับสนุนจากผู้อื่นอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงประสบความสำเร็จ

* แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ที่จริงไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องเหล็กกล้า แต่เขารู้วิธีที่จะทำให้คนอื่นภาคภูมิใจในตนเอง  

เช่น เวลาที่เขาควบรวมบริษัทอื่นในวงการเดียวกันเพื่อขยายบริษัทตนให้ใหญ่ขึ้น เขาจะไม่เปลี่ยนชื่อบริษัทที่ควบรวม เพราะมันจะทำให้พนักงานในบริษัทเหล่านั้นตั้งอกตั้งใจทำงานมากขึ้น

* การชมข้อดีของคนอื่นอย่างจริงใจเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คนอื่นภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นภารกิจหนึ่งคือ “ต้องหมั่นมองหาข้อดีของคนอื่นแล้วเอ่ยชม”

* “การบริการ” ก็คือการทำให้คนอื่นรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เขามีความสุขและรู้สึกดี ถ้าเราไม่คอยใส่ใจเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา เราก็จะไม่สามารถให้บริการเขาได้ 

(การใส่ใจเฝ้าสังเกต ก็คือการมีสติที่ละเอียดรอบคอบนั่นเอง – ผู้วิจารณ์)

* การ “เลียนแบบข้อดีของคนอื่น” ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ สตีฟ จ็อบส์ เอง ก็เคยถูกคนรอบข้างกล่าวถึงว่าเป็น “อัจฉริยะในการขโมยไอเดียคนอื่น” เช่นกัน

* เด็กประถมเวลาเล่นกันอย่างอิสระจะมีใจที่จดจ่ออยู่กับการเล่นอย่างเพลิดเพลิน  

คนที่สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้มักจะเป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาทำงานด้วยความรู้สึกสนุกสนานเหมือนเด็กประถม จึงสามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้

ดังนั้น เราจึงต้องค้นหางานที่เราสามารถทำได้ด้วยความรู้สึกสนุกจากใจจริง เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยความสามารถของตัวเองออกมาได้เต็มที่

แต่เราก็จะไม่มีวันค้นพบงานนั้นเจอได้เลยถ้าเราไม่ลองลงมือทำจริงไปหลาย ๆ อย่าง ดังนั้นจึงต้องหมั่นค้นหาและทดลองทำไปให้รอบด้านจนกว่าจะพบสิ่งที่เราสนุกกับมันจริง ๆ

* อัลเบิร์ต เซนต์ –จอร์จี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบวิตามินซี เคยกล่าวว่า “การค้นพบคือการมองสิ่งเดียวกับคนอื่น แต่คิดในสิ่งที่ต่างจากคนอื่น”

* ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลาไปกินข้าวนอกบ้านคือช่วงเวลาพักผ่อน แต่ถ้าเราคิดแบบคนอื่นเราก็จะสร้างผลงานได้แค่ระดับคนทั่วไป  

คนที่จะประสบความสำเร็จจะมองไปรอบ ๆ และวิเคราะห์ไปด้วยว่ามีร้านนี้ทำอย่างไรบ้างถึงประสบความสำเร็จ

* เวลาไปศาลเจ้าหรือไปไหว้หลุมฝังศพบรรพบุรุษ ลองเปลี่ยนจากการ “ขอพรให้เราได้นู่นนี่สมหวัง” เป็นการ “ขอบคุณที่ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดีเสมอมาครับ” แทน  

คนที่รู้สึกขอบคุณต่อทุกสิ่งและทุกคนเสมอ จะได้รับการสนับสนุนเสมอ

* การสร้าง “เซอร์ไพรส์” หรือ การมอบสิ่งที่ “อยู่เหนือความคาดหมาย” ให้กับลูกค้า คือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด และจะกลับมาอุดหนุนซ้ำอีก

วิธีฝึกง่าย ๆ คือภารกิจ “สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการให้ของขวัญแม้จะเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ” อย่างเช่นเวลามีคนไอก็เอายาอมแก้ไอไปยื่นให้

* การหาความรู้ใส่ตัวอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนเปลี่ยนแปลงได้ คนเราจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อลุกขึ้นและลงมือทำอะไรสักอย่างเท่านั้น

* แรงจูงใจมีที่มาหลายอย่าง เช่น ความใฝ่ฝันอยากใช้ชีวิตแบบนี้แบบนั้น หรือ การอยากเป็นที่ยอมรับของคนนี้คนนั้น 

แต่แรงจูงใจที่ได้ผลมากที่สุดคือ ให้นึกถึง “สิ่งที่วันหนึ่งข้างหน้าจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำ”

* หัดเล่าความฝันของเราให้คนอื่นฟัง แต่ต้องเป็นความฝันที่จะช่วยให้เขามีความสุขได้ด้วย

* จงช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จ

* หัดทำสิ่งที่ท้าทายความสามารถของตนเอง ถ้าให้ถึงขั้นใจเต้นตึ้กตั้กได้ยิ่งดี เพราะมันจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ปาฏิหาริย์”

* ยิ่งเรามี “ความอยาก” เพราะคิดว่าเรา “ขาด” อะไรมาก ๆ สิ่งนั้นก็จะยิ่งหนีห่างจากเราไป  

แต่ให้คิด “ขอบคุณ” ทุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตรอบตัวให้ได้เสมอ ๆ ทุกวันแทน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก พ่อแม่ คนที่เจอในแต่ละวัน สัตว์ อากาศ น้ำ หรือต้นไม้ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้

* ความสำเร็จไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ทั้งความสุขความทุกข์ของชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้จากมัน คนที่เรียนรู้จากทุกสิ่งได้คือคนที่จะสนุกกับโลกใบนี้ได้ตามใจปรารถนา

==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==

* เทพช้างแนะนำเคล็ดลับพัฒนาตนเองไว้ 29 วิธีในรูปแบบของ 29 “ภารกิจ” และแถมด้วย “ภารกิจสุดท้าย” ก่อนเทพช้างจะจากไปอีก 5 ข้อ  

หลายข้อคุณจะรู้สึกว่า “ทำไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา” หรือ “ไม่เห็นมีความเป็นวิทยาศาสตร์เลย”

แต่การสามารถเอาชนะใจตนเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำ และมีวินัยทำอย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นกุญแจสำคัญของผู้ประสบความสำเร็จทุกคน

หนังสือชื่อ “เทพช้างสอนคิด” โดย มิซุโนะ เคยะ แปลโดย อภิญญา เตชะบุญไพศาล สำนักพิมพ์วีเลิร์น 341 หน้า ราคา 250 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

———————————-

นักธุรกิจจีนกำลังจะครองโลกChina’s Disruptor

นักธุรกิจจีนกำลังจะครองโลกChina’s Disruptor

ถ้าอยากค้าขายกับคนจีน หรือวิ่งให้ทันประเทศจีน คุณต้องอ่านเล่มนี้

หนังสือไม่ได้มาบอกว่ามีเทคนิคค้าขายอะไร 

ต่อรองกับคนจีนอย่างไร  

หรือจะป้องกันไม่ให้โดนคนจีนโกงอย่างไร ฯลฯ

แต่หนังสือเล่มนี้จะเปิดและเปลี่ยนมุมมองของคุณที่เคยมีต่อคนจีนและความก้าวหน้าของธุรกิจขนาดใหญ่สัญชาติจีนที่ได้กลายเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนโลกใบนี้ไปแล้ว

ขออนุญาติสรุปภาพรวมเกี่ยวกับประเทศจีนให้ฟังในส่วนที่ผมเข้าใจก่อน บางส่วนนำมาจากหนังสือเล่มนี้และบางส่วนก็ประมวลผลจากสิ่งที่เคยรับทราบ จึงอาจจะไม่ใช่การรีวิวหนังสือตรงๆนะครับ

จีนก้าวหน้าไปมาก มาเป็นแบบล้อหลังแซงล้อหน้า และแซงในลักษณะ Accelerating Speed คือแซงไม่หยุด ยิ่งแซงยิ่งห่างเสียด้วย 

จีนมีลักษณะโครงสร้างของประเทศจึงเอื้อต่อการเป็นประเทศ Startup อย่างมากโดยเฉพาะธุรกิจที่เทคโนโลยีเข้าแทรกแซงได้ง่าย ด้วยความที่เป็นประเทศที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือ

1. จีนเคยเป็นฐานการผลิตให้แบรนด์ชั้นนำของโลกมาแทบจะครบ 

รัฐบาลจีนฉลาดครับ ยอมอดทนให้ประเทศชาติอื่นดูถูกว่าเป็นเพียงแรงงานของโลก แต่ระหว่างที่จีนตั้งหน้าตั้งตาผลิตสินค้า (เหมือนที่ไทยเคยทำและกำลังทำอยู่) แต่จีนเรียนรู้อย่างอดทนไปด้วย จีนดูดเอาองค์ความรู้ทุกอย่างไปพัฒนาคนของตนเองให้มีความรู้เทียบเท่าจนถึงจุดที่มั่นใจว่าทำแทนได้ดีกว่า –> ก้าวขึ้นมาผลิตเอง ในแบรนด์ของตัวเอง

กลยุทธ์แบบนี้น่าจะเรียกประมาณว่า ยอมเจ็บ 10 ปี แต่เอาคืนชั่วชีวิต

ส่วนไทยนั้นเป็นแบบ ไม่รู้อีกกี่ชีวิตจะเอาคืนได้ เพราะได้แต่รับจ้างแต่ไม่เรียนรู้

2. จีนเป็นประเทศสังคมนิยม ที่รัฐบาลสามารถทำอะไรก็ได้ตามดุลยพินิจของตัวเอง

รัฐบาลจีนอาจดูโหดร้าย เด็ดขาดแถมเป็นพวกเอาแต่ใจในสายตาตาชาวโลก แต่ถ้าความเด็ดขาดนั้นทำไปเพราะยุทธศาสตร์ระยะยาวในการสร้างชาติเพื่อประชาชนของตนเองให้แข่งขันและก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกในอนาคตได้ล่ะ คุณยังคิดจะว่ารัฐบาลจีนอย่างไรอีกไหม

ตัวอย่างเช่น มีหลายครั้งที่รัฐบาลจีนออกกฏหมายใหม่แบบไม่มีใครตั้งตัวทัน ในลักษณะปกป้องหรือเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของขาติตนเอง เพื่อให้ธุรกิจของตนเองที่สร้างจากการดูดองค์ความรู้ของบริษัทต่างชาติไว้ได้หมดแล้วตามข้อ 1. สามารถลุกขึ้นยืนได้ ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ปล่อยให้บริษัทต่างขาติเข้ามาผลิตและขายเครื่องคอมฯมานาน วันนึงรัฐบาลจีนก็ประกาศกฏว่า หน่วยงานราชการทั้งหมดจะต้องใช้เครื่องที่เป็นแบรนด์ของจีนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้แบรนด์ของตนเองสามารถทำยอดขายได้ทันทีที่พร้อม ส่วนบริษัทต่างชาติก็ค่อยถอนตัวออกไปเองเนื่องจากไม่สามารถหารายได้ในประเทศได้แล้ว

3. จีนยืนหยัดกับนโยบาย เรารู้เขา เขาไม่รู้เรา

ผมว่ารัฐบาลลจีนเข้าใจ Big Data มาก จึงมีนโยบายปิดประเทศพองาม คือการปิดกั้นการมใช้ Social Media Platform ของชาติตะวันตกทุกประเภทอย่างต่อเนื่องยาวนาน ในขณะที่ตัวเองก็พัฒนา platform กับสารพัด apps ให้ดีกว่าของตะวันตกให้ประชาชนจีนใช้ เมื่อคนจีนโตมากับการใช้ Apps ของตัวเอง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ Apps ของคนอื่นให้เหนื่อย รายได้ทุกอย่าง ก็อยู่ในประเทศ ข้อมูลพฤติกรรมมนุษย์ก็ไม่ถูกสอดแนมใช้คนอื่นเอาไปคาดเดา

4. จีนมีประชากร Digital มหาศาล ทำให้มีฐานผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก

China Internet Network Information Center (CINIC) คาดการณ์ว่าในปี 2015 ที่ผ่านมา 700 ล้านคน คือจำนวนคนจีนที่เข้าถึงอินเตอร์เนตได้ และ 85 % ใช้ผ่านมือถือ 

ทุกคนรู้ว่าจีนมีประชากรมากแค่ไหนและคนจีนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน ทุกคนใช้ smart phone เป็นหมด ด้วย scale ของผู้ใช้ที่มากมหาศาล การเป็น net idol หรือ blogger ที่จีนและมี follower หลักแสน ถือเป็นเรื่องง่ายมาก และการทำ apps อะไรขึ้นมาสักอันนึง คุณสามารถมี user ใช้ไม่ต่ำกว่าล้านคนได้สบายๆภายใน 1-2 วันแรกที่เปิดใช้บริการ เมื่อฐานผู้ใช้มาก รายได้ก็เข้า developer มาก ทำให้ยิ่งมีแรงพัฒนาและเป็นแรงจูงใจให้มี developer หน้าใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ผู้รู้เล่าให้ผมฟังว่า วัยรุ่นจีนจำนวนมากเดี๋ยวนี้อ่านออก แต่เขียนไม่ได้แล้ว เพราะใช้พิมพ์กับไถจอเท่านั้น หรือแม้กระทั่งงานแบบพวกโรงงานห้องแถวที่บ้านเรายังผลิตอาหารหรือค้าขายแบบเดิมอยู่ แต่ที่จีน โดยเฉพาะบางเมืองที่เป็นฐานทัพของบริษัท Startup ดังๆที่คนตื่นตัวเรื่อง digital มากๆ ห้องแถว 2 ห้องที่นั่นก็ผลิตแทปเลตขายกันเป็นว่าเล่น แม้กระทั่งแบรนด์ใหญ่ๆของจีนเช่น Huawei Xiaomi Lenovo ก็ออกมือถือกันปีนึง 40-50 รุ่นเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน ในขณะที่แบรนด์ตะวันตกหลายรายที่ไม่เข้าใจถึงนิสัยแท้ๆของคนจีน ต้องพ่ายแพ้กลับประเทศไปเช่น Home Depot Tesco 

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเชิงกลยุทธ์นะครับ 

อ่านแล้วจะเอาไปลงมือทำตาม 100% คงไม่เหมาะสม 

แต่ระหว่างอ่านให้ศึกษาแนวคิดของแบรนด์ชั้นนำที่ว่ามา มาเค้าคิดอย่างไรบ้าง 

เพราะคุณจะเข้าใจพฤติกรรมและบริบทของผู้บริโภคชาวจีนได้ดีขึ้น เช่น 

ปัจจุบัน คนจีนยังมีรายได้ต่อหัวน้อยยกว่าคนอเมริกันถึง 9 เท่า 

การจะดึงเงินจากคนจีน จึงไม่ใช่การขายของแพงเข้าคนกลุ่มน้อย 

แต่ต้องดึงเงินจำนวนน้อยๆจากคนจำนวนมากแทน 

นี่เป็นกลยุทธ์ที่ทุกแบรนด์ยืนยันว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว

คนไทยที่คิดว่าจีนมีแต่อะไรเชยๆ ทำได้แค่เพียงของปลอม ผู้คนเสียงดัง หรือมีอะไรที่เป็นเป้าให้คนไทยเอามาล้อเลียนได้ในวันนี้ ระวังตัวให้ดี 

อีก 5 ปี คนจีนจะล้อคนไทยกลับว่า เวลาผ่านไป 20-30 ปีแล้ว 

เมืองไทยยังไปไม่ถึงไหนเลยเหรอเนี่ย 

อย่ามัวแต่ลับมีด ในวันที่คนอื่นใช้ปืน

อย่ามัวแต่ลับมีด ในวันที่คนอื่นใช้ปืน
หนังสือสบาย สไตล์การเขียนชัดเจนของคุณพีท เจ้าของ Pete’s Philosophy 

เล่มนี้ผู้เขียนมาเตือนเราทุกคนว่า อย่ามัวยึดติดกับกรอบการใช้ชีวิตหรือความสำเร็จเดิมๆ เพราะโลกหมุนไปทุกวัน สิ่งที่เคยใช้ได้ดีเมื่อวานมันอาจใช้ไม่ได้ผลแล้วในวันนี้ เราจึงต้องหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเสมอ 

อย่ามัวแต่ลึบมีด ในวันที่คนอื่นใช้ปืน

แปลว่า อย่ามัวแต่ยึดมั่นกับทักษะเดิมๆโดยไม่เหลือบตาดูโลก เพราะทักษะนั้นอาจไม่มีใครต้องการแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจจากในเล่ม

– การพูดว่า ทำไม่ได้ มันไม่ได้เสียหายอะไรถ้าสิ่งที่เรายืนยันว่าทำไม่ได้นั้นมันผิดกฏหรือไม่ถูกต้อง

– การฝึก Elevator Pitch บ่อยๆจะช่วยให้เราชัดเจนกับเป้าหมายของเรา

– วางแผนงานอาจมีใครมาช่วยคิด แต่วางแผนชีวิต เราต้องทำด้วยตัวเอง

– การทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ ให้อะไรมากกว่าที่เราคิด

– คนที่อยากประสบสำเร็จต้องเห็นกว้าง รู้ให้เยอะ อย่าเก็บตัว ซึ่งโอกาสในการเรียนรู้แบบนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สนใจ

– การคิดต่างจากหัวหน้า เป็นอีกวิธีสู่ความก้าวหน้าในงาน แต่เราต้องรู้จักเลือกเวลาที่จะแสดงความเห็นต่างในถูกกาละเทศะ เช่นไม่แสดงความเห็นต่างกลางที่ประชุมกับคนนอกบริษัท

– ก่อนกดปุ่ม send ส่งอีเมล์ออกไป คิดให้ดีทุกครั้ง อย่าส่งออกดวยอารมณ์

– หัดเป็นคน ฟัง เพื่อ ฟัง ฟังจนขนาดที่ผู้พูดรู้สึกว่ามีเราเพียงคนเดียวตรงนั้น แล้วจะได้หลายอย่างกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ

– การตั้งคำถาม .อย่าถามว่า.ทำไมงานถึงไม่เสร็จ แต่ให้ถามว่า ต้องทำอย่างไรงานถึงจะเสร็จ

– การกล้ายอมรับว่าไม่รู้ จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ

– อย่าฝากอนาคตความก้าวหน้าของงานไว้กับเจ้านาย แต่ให้กำหนดมันด้วยตัวเองและวางบทให้นายเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น

– ชีวิตมันโอเคที่จะเจอเรื่องลบๆบ้าง แต่รวมๆแล้วมันจะบวกมากกว่าลบแน่นอน อย่าคิดมาก

– การเลือกเส้นทางเดินโดยไม่คิดถึงจุดจบที่ปลายทางว่าจะเป็นอย่างไร นั่นคือพลาดตั้งแต่เลือกแล้ว

– เป้าหมายไม่เคยเดินมาหาเรา การยืนนิ่งๆสองเท้าอาจทำให้มั่นคง แต่มันไม่ได้พาเราเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเลย ดังนั้น จงออกเดิน

– ความสามารถในการมองหาสิ่งดีๆท่ามกลางสิ่งร้ายได้ คือคุณสมบัติเด่นที่พบในทุกคนที่ประสบความสำเร็จ

– พยายามอยู่ท่ามกลางคนบวกและคุยเรื่องบวก

– การคิดบวกด้านเดียวอาจออกผลเป็นทั้งบวกและลบ แต่การคิดทั้งบวกและลบ ผลที่ออกมาจะบวกเสมอ

หนังสือให้แง่คิดดีๆเยอะ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากอ่านหนังสือที่เนื้อหาไม่หนักมากและแต่ละบทไม่ยาวเกินไป ทำให้ทยอยอ่านและฝึกตัวเองไปด้วยทีละนิด

กลยุทธ์ล้มมือหนึ่ง

กลยุทธ์ล้มมือหนึ่ง

ในโลกของการทำธุรกิจ การที่เราจะเริ่มเปิดกิจการที่คล้ายๆกัน เพื่อที่จะไปแข่งขันกับกิจการยักษ์ใหญ่ที่มีอยู่แล้วนั้นเป็นเรื่องยาก สมมุติว่าท่านจะต้องเปิดร้านกาแฟ ขายเครื่องดื่มบรรจุขวด เปิดร้านสะดวกซื้อ หรือพัฒนากิจการดั้งเดิมของครอบครัวให้เติบโตมากขึ้น แต่ต้องประสบปัญหาการแข่งขัน ผูกขาด เบียดบังของผู้เล่นรายใหญ่ ทำให้เรารู้สึกว่าทำไปก็เหนื่อยมาก กำไรน้อย เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร

ในโลกของการลงทุน การค้นหาบริษัทที่จะผู้ชนะตลอดไปนั้น มีคุณค่าต่อนักลงทุนระยะยาวมาก เพราะนั่นจะหมายถึงผลการลงทุนในแบบผู้ชนะตลอดไปของนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้าเรากำลังเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทที่เป็นผู้ชนะอยู่ สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ การวิเคราะห์ว่าบริษัทจะรักษาหรือสูญเสียตำแหน่งนี้ไปได้อย่างไร หรือถ้าเรากำลังถือหุ้นในบริษัทที่เป็นรอง เราคงจะต้องหาว่าบริษัทของเรานั้นจะพลิกกลับมาเอาชนะบริษัทใหญ่นั้นได้อย่างไร

การถือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะเสียแชมป์นั้นเป็นเรื่องที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลนักลงทุนมาก ทั้งนี้เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ชนะนั้น มักจะมี Market cap ขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้มีผลกระทบที่กว้างขวางและรุนแรงกว่าบริษัทขนาดเล็กเมื่อบริษัทมี Market cap ที่ลดลง สัดส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ที่มักจะผสมไปทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ สถาบันทั้งในและต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อย ทำให้ความสูญเสียกระจายไปถึงภาคครัวเรือนได้ง่าย การถือหุ้นบริษัทรองที่ไม่ชนะนั้นก็อาจทำให้เราหมดเนื้อหมดตัวไปพร้อมกับเจ้าของได้เช่นเดียวกัน ผมคิดว่าบริษัทรองนั้นล้มหายตายจากไปมากกว่าที่เราคิด ทั้งนี้เพราะว่าเราจำบริษัทรองๆที่มีจำนวนมากนั้นไม่ค่อยจะได้ เราส่วนใหญ่จะรู้จักกันเฉพาะบริษัทอันดับหนึ่ง หรือบริษัทอันดับสองที่เอาชนะจนมาเป็นอันดับหนึ่งได้ อย่างที่เขาว่า ไม่มีใครจำอันดับสองกัน

คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นคือ “เลือกผู้ชนะในปัจจุบัน” ทั้งนี้เพราะผู้ชนะส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะยังคงชนะต่อไปในอนาคตอันใกล้ อนาคตของมือรองก็ยังคงเป็นรองหรือล้มหายตายจากไปเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้าเรายังไม่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ธุรกิจมากนัก เราควรจะลงทุนให้โน้มเอียงไปในทางผู้ชนะอันดับหนึ่งเอาไว้ก่อน สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และความรู้มาพอสมควรแล้ว การค้นหาบริษัทที่จะชนะตลอดไปหรือบริษัทที่จะล้มแชมป์ได้ในอนาคตนั้น มีความจำเป็นและท้าทายอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในฐานะนักลงทุน

ผมขอเขียนเกริ่นนำไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ ถ้าใครสนใจในรายละเอียดผมมีหนังสือแนะนำอยู่เล่มหนึ่งชื่อ “กลยุทธ์ Lanchester” ของสำนักพิมพ์ ส.ส.ท. เป็นหนังสือดี อ่านง่าย ราคาถูก ถ้ามีเวลา ผมจะพิมพ์ใจความสำคัญของแนวคิดในหนังสือเล่มนี้ให้อ่านกันในตอนหลัง ถ้าใครเชียร์ลิเวอร์พูล ทรู อิชิตัน ฯลฯ กันอยู่ ผมว่าหนังสือนี้ให้แนวคิดที่น่าสนใจมาก ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ

http://www.naiin.com/product/detail/106823/กลยุทธ์-Lanchester-ยุทธการล้มเบอร์หนึ่งของมือรอง

จากบทความในตอนแรกทุกท่านคงได้เห็นแล้วว่า การที่เราเลือกข้างได้ถูกต้องนั้น มีผลกระทบต่อผลการลงทุนของเราอย่างมาก นักลงทุนผู้ชาญฉลาดจะเลือกลงทุนเฉพาะในฝ่ายที่กำลังได้เปรียบกว่าอยู่เสมอ

การได้เปรียบทางการรบนั้นขึ้นอยู่กับกำลังทหาร x ประสิทธิภาพของกำลังพลที่มี ถ้าใครมีตรงนี้มากกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ คำพูดนี้เป็นจริงเสมอถ้าเป็นการรบแบบซึ่งหน้าในทุ่งโล่ง กำลังทหารคือแหล่งที่มาของชัยชนะ เมื่อทั้งสองฝ่ายวัดผลการต่อสู้โดยการใช้กำลังทั้งหมดที่มี

ปัญหาของฝ่ายที่มีกำลังมากนั้นคือ จะทำยังไงให้กำลังทหารของตนนั้น ถูกส่งไปถึงสมรภูมิที่จะรบได้ทั้งจำนวนที่มากและเวลาที่ทันการ แม้ฝ่ายที่มีกำลังเป็นรองก็จะต้องถือหัวใจสำคัญประการเดียวที่จะชนะในการรบเสมอคือ “ใครมีกำลังมากกว่าเป็นผู้ชนะ” ฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่าจะกลายมาเป็นฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าเพื่อชนะสงครามได้อย่างไร

อย่างแรก การเอาชนะด้วยความเร็ว
แม้มีกำลังน้อยกว่า แต่เคลื่อนพลได้รวดเร็วกว่าและพร้อมเพรียงกว่า ในเวลาที่เท่ากัน ฝ่ายที่มีกำลังรวมน้อยกว่ากลับจะมีกำลังรบในสนามนั้นที่มากกว่าฝ่ายที่เคลื่อนพลได้ช้ากว่า ดังนั้นในสนามรบที่เราเคลื่อนพลได้อย่างรวดเร็วกว่า หรือบริษัทที่มีการบริหารที่คล่องตัวกว่า ก็จะเป็นฝ่ายชนะได้

อย่างที่สอง การเอาชนะด้วยการเลือกสมรภูมิรบ
อย่าทำตัวเป็นแรมโบ้ รบได้ทุกที่แบบซึ่งหน้าตลอดเวลา ฝ่ายที่มีกำลังน้อยควรจะต้องเลือกเวลาและสถานที่ที่เราได้เปรียบสูงสุด เช่นรบในเวลากลางคืน รบในที่ที่เป็นป่ารกทึบ รบในที่ที่ฝ่ายเรามีความชำนาญในภูมิประเทศ ถ้าเราเป็นร้านโชว์ห่วย อย่ากระจายสาขาไปนอกเขตที่เราคุ้นเคย การเปิดร้านในทำเลที่เป็นทำเลรองที่คู่แข่งน้อย เปิดในเวลาที่ลูกค้ามากเฉพาะจุดนั้นๆเช่นโรงเรียนในเวลาหลังเลิกเรียนแต่ไม่เปิด24ชั่วโมง ขายสินค้าที่ไม่มีในร้านค้าเชนสโตร์ แบบนี้ก็มีโอกาสชนะได้มากขึ้นด้วยการกำหนดสนามรบ เวลารบ และรูปแบบการรบได้เอง

อย่างที่สาม รบแบบตัวต่อตัว
ยิ่งเรามีกำลังน้อย เราไม่ควรสู้แบบ 10 รุมหนึ่ง แต่ให้ท้าดวลตัวต่อตัวจะมีโอกาสชนะที่สูงกว่ามาก การดวลตัวต่อตัวในทางธุรกิจคือระบุไปเลยให้ลูกค้าทราบว่าเรากำลังสู้กับใคร เช่นในกรณีอิชิตัน ก็บอกแก่ผู้บริโภคทางอ้อมว่ากำลังสู้กับโออิชิ การทำแบบนี้จะทำให้ผู้บริโภคเกิดการเปรียบเทียบจากการต้องเลือกแค่ 1 ใน 2 ไม่ใช่การเลือกจาก 1 ใน 10 ของชาเขียวทั้งตลาด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะมากขึ้น Google ก็ระบุไปเลยว่าจะสู้กับ Yahoo Samsung ก็ระบุไปเลยว่าจะสู้กับ Apple การต่อสู้แบบระบุศัตรูที่ชัดเจน จะช่วยให้เรามีสมาธิและรวบรวมกำลังกับศัตรูที่มีเพียงคนเดียว เมื่อรวมกับกลยุทธ์การกำหนดสมรภูมิที่จะรบ เราก็สามารถชนะบริษัทใหญ่ได้ไม่ยาก

อย่างที่สี่ รบแบบกลลวง
รบแบบกลลวงคือการดึงกำลังและความสนใจของศัตรูไปยังส่วนที่ไม่มีความสำคัญต่อเป้าหมายที่แท้จริงของเรา แล้วเราทุ่มกำลังของเราไปยังส่วนที่สำคัญกว่า แค่นี้ก็จะทำให้เรามีกำลังมากกว่าในสมรภูมิที่สำคัญกว่า สายการบินราคาประหยัดใช้วิธีนี้ในการต่อสู้กับสายการบินเต็มรูปแบบ คือการลดราคาตั๋วโดยสารบางที่นั่งให้ขาดทุนเพื่อดึงความสนใจของลูกค้าไปยังส่วนที่ไม่สำคัญ แต่เก็บรายได้จากค่าอาหาร ค่าสัมภาระเกิน ค่าเปลี่ยนแปลงวันเวลาเดินทาง ฯลฯ เพื่อที่ทำกำไรจากจุดเหล่านี้แทน ซึ่งหากสายการบินที่บริการเต็มรูปแบบลดราคาค่าโดยสารตาม ก็จะไม่สามารถหารายได้เพิ่มทางอื่นเช่นสายการบินราคาประหยัดได้ การลดราคาสู้จึงทำให้ยิ่งติดกับดักในเกมที่แข่งขันได้ลำบาก แม้สายการบินใหญ่ก็ต้องแพ้ไป

อย่างที่ห้า รบด้วยการเลียนแบบ
การเป็นผู้นำหมายความว่าจำเป็นที่จะต้องคิดริเริ่มอะไรทั้งหมดขึ้นมาเองด้วย เนื่องจากการเป็นผู้นำตลาดจำเป็นต้องแสดงสิ่งนี้ให้ลูกค้าเห็น การคิดและริเริ่มของผู้นำมักจะตามมาด้วยงบการวิจัยและพัฒนาอย่างมหาศาล การเลียนแบบจึงเป็นกลยุทธ์ที่ลดระยะการทิ้งห่างระหว่างมือหนึ่งและมือรอง ไม่ต้องเสียค่าวิจัยและพัฒนา และมีโอกาสประสบความสำเร็จที่สูงกว่าการทำสิ่งใหม่ๆทั้งหมดด้วยตนเอง ถ้าบริษัทยังเป็นมือรอง

ยังมีรายละเอียดดีๆอีกเยอะจากหนังสือเล่มนี้ครับ ผมขอไม่เขียนจนหมด เพราะยังไงก็คงไม่ดีไปกว่าการอ่านโดยตรงจากผู้เขียนเอง แค่อยากให้ท่านพิจารณานำไปประยุกต์ใช้ดูว่า บริษัทนั้นๆจะสามารถพลิกสถานะการณ์ที่เป็นรองให้กลับมาได้เปรียบได้อย่างไร…

ข้อคิดจากหนังสือ “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด”

หลายเดือนก่อนผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนถ่ายทอดแง่คิด ประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นและชีวิตของผู้เขียนให้กับผู้อ่าน หนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดอะไรหลายอย่าง มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หลังจากอ่านจบแล้วเลยอยากสรุปข้อคิดหลายๆอย่างจากหนังสือเล่มนี้แบ่งปันให้ คนอื่นบ้าง เผื่อได้ข้อคิดอะไรและไปปรับใช้กับชีวิตตัวเองดูบ้างครับ
ในชีวิตหนึ่ง ไม่มีช่วงอายุใดที่เร็วเกินไปหรือสายเกินแก้
ความปรารถนาของใครคนหนึ่งอาจไม่ใช่บรรทัดฐานของโลก แต่เป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าความภูมิใจ และความท้าทายให้ชีวิตตนเองอยู่ได้
คนที่ตัดสินใจอย่างโง่เขลาที่จะเป็นและทำในสิ่งที่ยากลำบากในวันนี้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเขาอาจประสบความสำเร็จเหนือใครๆ
เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคต ความฝัน และความปรารถนา
ดอกไม้ แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น ในช่วงเวลาที่ต้องรอคอย จงเตรียมตัวให้พร้อม
สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ต้องทำความฝันให้เป็นจริงได้ในที่สุดด้วย
จงเชื่อมั่นในพลังของตัวคุณ แต่อย่าตั้งเป้าหมายที่ตายตัวมากเกินไป
อย่าวางแผนการรัดกุมตายตัวมากเกินไป จงแง้มประตูหัวใจไว้เล็กน้อย สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
จงอย่าหมดหวัง ถ้าสิ่งที่หวังไว้ยังไม่ประสบผล
การบริหารจัดการที่ดีที่สุด คือการลงทุนในความสามารถของตัวเราเอง
ก่อน ที่เราจะเริ่มทำงานใดๆ ไม่ใช่เอาแต่ “ขยันทำงานนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใด” แต่ต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัดว่า “จะทำงานนี้ไปทำไม?” หลังจากนั้นใช้เวลาค้นหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเอง
การเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดัง ไม่ใช่เครื่องยืนยันความสำเร็จที่แท้จริง ต้องพิจารณาความสนุกของตัวเองในการทำงานด้วย
สิ่งที่สำคัญคือประสบการณ์ นั่นคือต้องลงมือทำจริง ต้องอ่านหนังสือ ต้องพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็น ต้องออกไปเที่ยว
ไม่มีสิ่งใดทำให้มนุษย์เติบโตได้เทียบเท่าประสบการณ์
สิ่งที่คนหนุ่มสาวขาดหายไป ไม่ใช่ความสามารถ ใบประกาศนียบัตร แต่คือการทบทวนตนเอง
การอ่านเรื่องราวหลากหลายก่อให้เกิดความคิดดีๆขึ้น เราสามารถสะสมประสบการณ์ทางอ้อมได้จากการอ่าน
การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์และทำให้เราได้เห็นโลกกว้าง
คนสูงอายุที่เสียชีวิตลง เหมือนห้องสมุดที่ถูกไฟไหม้
การ ท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราค้นพบว่า สิ่งที่เคยคิดว่าถูกต้องแน่นอนที่สุด แท้จริงแล้วไม่เหมือนที่คิดไว้เลย ทำให้เกิดคำถามว่า เรามีชีวิตไปเพื่อสิ่งใดกัน
เป้าหมาย วิธีทำ และการลงมือปฏิบัติ จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ
ถ้าตอนนี้คุณคิดว่าคุณกำลังเผชิญความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ แม้ความทุกข์จะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ในทางตรงกันข้ามมันก็คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยผลักดันคุณ
บางครั้งจงหยุดเดิน แล้วมองตัวเองด้วยแววตาที่สัตย์จริง การเผชิญหน้ากับความคิดของตัวเอง อาจค้นพบสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของเราล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นไปได้ว่าสาเหตุนั้นอาจมาจากชีวิตของเราที่เหมือนใบเลื่อยที่ทื่อเกินไป
วันนี้คือเวลาที่มีค่ามาก อย่าเลื่อนสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ไปทำพรุ่งนี้
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ต่างจากการซื้อสินค้า ความสัมพันธ์ของมนุษย์ไม่ใช่การ”เลือก” คู่ที่ดีที่สุด แต่คือ การ”เป็น”คู่ที่ดีที่สุด
คนเสพติดความรักจะกลัวว่าไม่มีใครรักตัวเอง
ช่วง เวลาอายุ 20 ปี จึงเป็นช่วงเวลาที่น่ากังวลที่สุดในชีวิต การที่คุณรู้สึกกังวลใจอะถูกแล้ว จงกังวลใจเถิด จงไตร่ตรองตัวเลือกที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ จงสลัดความคิดไร้สาระที่ว่า “เรียนๆไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน” อย่าเอาแต่คร่ำครวญอยู่เพียงลำพัง จงหาข้อมูลที่หลากหลาย จงอ่านหนังสือทุกประเภท เพราะการตัดสินใจมาจากข้อมูลที่ดี จงพบผู้คนมากมาย จงคุยกับรุ่นพี่หรืออาจารย์ผู้เคยผ่านชีวิตช่วงนั้นมาก่อน แต่อย่าคบเพื่อนที่ทำให้รู้สึกหดหู่ใจยิ่งขึ้น
มหาวิทยาลัยยินดีต้อนรับการมาเยือนของปัญหาทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ววัยรุ่นเอ๋ย จงเปิดใจเตรียมต้อนรับความกังวลที่กำลังเกิดขึ้นเถิด จงรักความกังวลใจเล็กๆนั้น จงคิด จงว้าวุ่นใจ จงพะว้าพะวัง
เมื่อ อยากทำอะไรให้สำเร็จทุกคนจะต้องปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ สิ่งสำคัญไมใช่ว่าคุณมีความสามารถเพียงพอหรือไม่ แต่คือคุณกล้าหาญมากพอไหม ที่จะยอมหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จนกว่าสิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณ จนกว่ามันจะช่วยผดุงชีวิตของคุณให้แข็งแรงและมั่นคง
ถ้าคุณกำลังลำบากอยู่ ให้ก้มลงมองคนที่ลำบากกว่า แต่เมื่ออยากได้ดี ให้เงยหน้ามองคนที่อยู่สูงกว่า หมายความว่า ถึงจะเหนื่อยก็อย่าท้อ และถ้าอยากได้ดี ก็จงอย่าทะนงตน
ถ้าชีวิตประจำวันของคุณในวันนี้ลำบากจนอยากตาย แต่อาจมีใครหลายคนปรารถนาอยากเป็นคุณแม้เพียงวันเดียวในชีวิตของเขา
การหลงลืมความฝันของตัวเองน่ากลัวยิ่งกว่าการที่ไม่สามารถทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงได้ร้อยเท่า
การฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอซ้ำๆทำให้เป้าหมายที่คาดคิดว่าจะเป็นจริงสำเร็จได้จริง
นิสัยตอนอายุสามขวบจะติดไปจนอายุแปดสิบ
ถึงแม้จะไม่ถูกใจใคร ถึงขนาดไม่อยากคุยด้วยแล้ว ก็ต้องคิดที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองก่อน เพื่อนที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดีไม่ใช่ว่าจะหาซื้อได้ทั่วไปที่ไหน ต้องพยายามและสร้างความสัมพันธ์นั้นขึ้นมาด้วยกัน
ถ้าเราอยากให้อีกฝ่ายพูดหรือปฏิบัติดีกับเรา เราเองก็ควรพูดและทำดีกับเขาก่อนเช่นกัน
ต้องฝึกปรับเปลี่ยนตัวเองในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ
สิ่งที่ควรมีให้ได้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยหรือก่อนเรียนจบ คือ ความสัมพันธ์ที่ดี
ในอดีตมนุษย์มีความเป็นมนุษย์มากกว่าปัจจุบัน
การเขียนบทความได้ดีไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับนักเขียนเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับทุกคนด้วย
ในยุคสมัยใหม่เราจำเป็นต้องรู้กว้างๆและนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม นำความรู้ที่หลากหลายนั้นมาสร้างเรื่องราวของตัวเองให้ตรงกับความต้องการของสังคม
ชีวิตเราเหมือนจิ๊กซอร์ขนาดใหญ่ที่จะต้องต่อทีละชิ้นๆให้ประสานกันเป็นอย่างดี
ในชีวิตเรา สิ่งที่จำเป็นมากกว่านาฬิกาคือเข็มทิศ สิ่งที่สำคัญมากกว่าไปได้เร็วแค่ไหน คือ ไปถูกทางหรือไม่ นอกจากนี้สิ่งที่จำเป็นมากกว่าเข็มทิศ คือ กระจก เราต้องส่องกระจกย้อนดูตัวเองเสมอว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่คนเรามักต้องการนาฬิกามากกว่าเข็มทิศ และต้องการเข็มทิศมากกว่ากระจก
ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่ความสำเร็จยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการทักถอชัยชนะขึ้นทุกวัน การเฝ้ารอชัยชนะแบบพลิกล็อกหรือรอจุดเปลี่ยนเป็นการเสียเวลาชีวิตในแต่ละวันโดยเปล่า ให้ลงมือปฏิบัติจริงเลย
เมื่ออยู่ต่อหน้าปัญหาที่มองไม่เห็นทางแก้ จงอย่ากังวลว่าต้องทำอย่างไร แต่จงไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่า วันนี้เราสามารถทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้บ้าง
ต่อให้เราสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตก็ไม่มีทางแก้ไขอดีตได้ แต่ถ้าเริ่มใหม่ในตอนนี้จะสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
จงร่างภาพจิ๊กซอร์ของชีวิตคุณตั้งแต่ตอนนี้ จงจินตนาการถึงภาพขนาดใหญ่ของชีวิตที่อยากเห็นในวันสุดท้าย เมื่อต้องลาจากโลกใบนี้ไป ถ้าคิดว่าวันนี้เป็นจิ๊กซอร์ชิ้นหนึ่งของชีวิต หากจิ๊กซอร์ชิ้นนี้ขาดหายไป คุณจะรู้สึกเสียดายมากแค่ไหน
ทุกคนมีโจรขโมยเวลาอยู่ในตัวเอง ถ้าไม่จับโจรขโมยเวลาให้ได้ก่อน ก็เป็นไปได้ยากที่เราจะสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
เคล็ดลับการจัดการเวลา
การจัดการเวลาให้สัมพันธ์กับเป้าหมาย ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด ต้องเรียงลำดับงานก่อนหลังให้เหมาะสม และต้องตัดสินใจทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็นไปบ้าง
จงงดงานอดิเรกที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิต
15 นาทียาวนานนัก นำเศษเวลามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด งานที่ทำได้ภายใน 15 นาทีให้ลงมือทำทันที เพราะงานที่ไม่อยากทำในตอนนั้น จะตอนไหนก็ไม่อยากทำ การพบตัวเองถือเป็นการใช้เศษเวลาได้อย่างมีคุณค่าที่สุด การพบตัวเอง คือ การครุ่นคิดกับตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันแน่ อยากใช้ชีวิตรูปแบบใด
ยิ่งยุ่ง ยิ่งมีเวลา ในช่วงที่ยุ่งเราจะมีพลังในการผลักดันจนทำงานเสร็จอย่างรวดเร็ว กลายเป็นยิ่งยุ่งยิ่งมีเวลามากขึ้น
เวลาของคุณมีค่ามากกว่าที่คุณคิด
ความ สุขไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อประสบความสำเร็จ หากแต่ต้องพยายามและฝึกฝน ต้องรู้สึกเพลิดเพลินกับชีวิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าให้ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ แต่ต้องทำงานที่ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่า ต้องหมั่นควบคุมจิตใจในช่วงเวลาที่จำเป็น
เราไม่ควรดำเนินชีวิตใน วันนี้ด้วยความเสียใจจากวันวานที่ผ่านมาแล้ว เราไม่ควรเป็นทุกข์เพราะความผิดพลาดในอดีตที่ไม่อาจแก้ไขได้ เราไม่ควรหวาดหวั่นหรือทรมานใจกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ต้องรู้สึกเพลิดเพลินกับปัจจุบันซึ่งกำลังก้าวเดินไปสู่เป้าหมายทีละน้อยที ละนิด
จงฉกฉวยวันนี้ไว้ (Seize the day)
หลักการหนึ่งต่อหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าลงทุนเรื่องใดก็ตามวันละ 1 ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 1 ปี จะต้องเกิดอะไรดีๆขึ้นกับชีวิต
จงอย่าลังเลที่จะใช้หลักหนึ่งต่อหนึ่งกับความฝันเลกๆที่คุณเคยวาดฝันไว้
ปาฏิหาริย์ คือสิ่งที่สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อย
ความสามารถในการข่มใจต่อปัจจุบันเพื่ออนาคต เป็นหลักสำคัญที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ
ไม่ แน่ใจว่าการเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังจะทำให้ตัวคุณมีความสุขและมีคุณค่า จริงไหม แต่เชื่อมั่นว่าการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าเป็นสิ่งที่สำคัญ มากกว่าการเรียนจบ
ก่อนจะประสบความสำเร็จได้ต้องเคยผ่านประสบการณ์ล้มเหลวมาก่อน
แม้ว่าค่านิยมและการดำเนินชีวิตในสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกไม่เคยเปลี่ยนไป
คุณ คือเจ้าของชีวิตที่แท้จริง ถูกถักทอขึ้นจากความพึงพอใจและความเสียใจ เพื่อให้ความสุขและทุกข์สมดุลกัน คุณจะต้องตัดสินทุกอย่าง “ด้วยตัวเอง”
พ่อแม่หลายคนไม่ได้ต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จที่สุด ท่านเพียงแค่อยากให้ลูกล้มเหลวน้อยที่สุด
ในสังคมเรา ความจริงแล้วตารางคะแนนสอบเข้าไม่ได้มีไว้เพื่อตรวจสอบคณะที่อยากเรียน แต่ถูกใช้เพื่อตรวจสอบคณะที่ต้องเรียน
จงค้นหาพลังที่ซ่อนอยู่ จงสร้างมันขึ้นด้วยสองมือของคุณเอง อย่าให้กระแสสังคมนำพาคุณไป
เราจำเป็นต้องมีความสามารถระดับหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าความสำเร็จและความสุขไม่ได้เกิดขึ้นจากความสามารถเสมอไป คุณอาจไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง แต่ต้องรู้จักวางตัวกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สูง แต่จำเป็นต้องมีไหวพริบและปัญญาสูง
ถ้าพูดให้ถูกต้อง มหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นชัย แต่คือจุดออกตัวสู้การแข่งขันอีกต่างหาก
การเพิ่มความสามารถทั้งที่ตัวเองยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตหรือไม่รู้ความสามารถ แท้จริงที่ซ่อนอยู่ อาจทำให้เสียเวลาและเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
ผมอาจไม่ชำนาญในบางเรื่อง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผมถนัด ผมทำได้ดีแน่
สามสิ่งที่ควรมีเมื่ออยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย คือ ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และความฝันที่ยิ่งใหญ่
ทุกคนขาดการพิจารณาและค้นหาว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของตัวเองคืออะไร มุ่งแต่หางานและชีวิตที่มั่นคง
อย่าลังเลที่จะเริ่มต้นทำงานกับบริษัทขนาดเล็ก ข้อดีที่สุดในการทำงานที่นี่คือได้รับประสบการณ์หลากหลาย
เลือกทำงานที่ตรงกับนิสัยตัวเอง อาจใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่พักใหญ่กว่าจะได้เจออาชีพที่เหมาะสม แต่จงอย่าย่อท้อ โปรดพยายามต่อไป
ก่อน อื่นเราต้องตั้งเป้าหมายและวางแผนการชีวิตให้แน่ชัด หลังจากนั้นให้ใช้สิ่งนี้เป็นเกณฑ์ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อย่าโอนเอียงไปกับจิตใจที่หวั่นไหว
ชีวิตของเราไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ก็มีการเติบโตและต้องเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด
สิ่งที่เลวร้ายมากกว่าความผิดพลาด คือไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย
หวังว่ามันจะช่วยให้คุณได้ข้อคิดในการใช้ชีวิตบ้างไม่มากก็น้อยครับ

กลยุทธ์ในชีวิตประจำวัน โดย นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

» กลยุทธ์ในชีวิตประจำวัน โดย นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

• กลยุทธ์#1 : สมองมีสองโหมด

ช่างตัดเสื้อชาวยิวตกอยู่ในภาวะสุดวิสัย ต้องเข้าไปเปิดร้านตัดเสื้อในพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมรังเกียจชาวยิว …ซึ่งจะมีเด็กวัยรุ่นมายืนตะโกน ขว้างปาก้อนหินใส่

วันหนึ่ง…เขาก็คิดแผนกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา โดยที่เขาออกมาต้อนรับเด็กพวกนั้น และให้เงิน 10 เซ็นต์แก่ทุกคน แล้วบอกว่าถ้ามาตะโกนทุกวันจะได้ผลตอบแทนเท่านี้ทุกวัน

เมื่อผ่านไป 2 อาทิตย์ เขาเริ่มให้แค่ 5 เซ็นต์แทน อีกหนึ่งวันให้แค่ 1 เซ็นต์แทน ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่พอใจอย่างมาก และเลิกมายืนด่าหน้าร้าน

ทฤษฏีที่มาสนับสนุนเหตุการณ์นี้ คือ Cognitive Dissonance

สมองของคนเราจะคอยตรวจตราว่า ความคิด ความเชื่อ หรือหลักการทั้งหลายที่อยู่ในสมองของเรามีความสอดคล้องกันทั้งหมดหรือไม่ เมื่อรับรู้เรื่องใหม่ที่ขัดแย้งมันจะพยายามขจัดออกไป เพื่อให้สอดคล้องเหมือนเดิม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจในตัวเองให้กับเรา

ในเหตุการณ์ข้างต้น ช่างตัดเสื้อใช้อุบายทำให้เด็กกลุ่มนั้นเกิดความคิดสองอย่างที่ขัดแย้งกันในสมอง คือ “การดูหมิ่นเป็นเรื่องถูกต้อง” และ “ความรู้สึกที่ต้องได้ค่าจ้างที่เป็นธรรมเสมอ”

ช่างตัดเสื้อได้จับความคิดทั้งสองมาเชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกันทำให้เป้าหมายของความคิดทั้งสองอย่างขัดแย้งกัน

สมองของเด็กอันธพาลจึงพยายามขจัดความขัดแย้งนั้นด้วยการไม่ยอมตะโกนด่าช่างตัดเสื้อโดยไม่ได้รับค่าจ้าง

Cognitive Dissonance ที่เกี่ยวข้องกับการได้รับผลตอบแทน เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ ซึ่งจากการทดลองทำให้รู้ว่า คนเรามีแรงจูงใจที่ดีกว่าถ้าผลตอบแทนที่ได้รับอยู่ในรูปของคุณค่าทางจิตใจแทนที่จะเป็นเงิน

การไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไรเลยอาจทำให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานมากกว่าการได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินที่น้อยเกินไปจนดูเหมือนเป็นการเอาเปรียบ

ถ้าเรามองว่าการกระทำนั้นเป็นเรื่องของการหวังผลตอบแทนเชิงสังคม เราจะทำสิ่งนั้นอย่างเต็มใจ โดยไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องผลตอบแทนเลย

เรื่องน่าแปลกใจที่เมื่อใดก็ตามที่มีการเอ่ยถึงเรื่องเงิน สมองของเราจะมองการทำเพื่อคนอื่นเป็นเชิงพาณิชย์ทันที

ในการทำงาน การซื้อใจ …จึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการใช้เงิน

::::::::::::::::::

• กลยุทธ์#2 : กลวิธีสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจ

การตัดสินใจต่าง ๆ ของมนุษย์มักเอนเอียงไปตามการรับรู้เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่การตลาดนำมาใช้มากมาย กลายเป็นกลวิธีที่จะมุ่งหมายสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว

Ex1 : สินค้าถ้าตั้งป้ายขายราคา 100 บาทจะขายไม่ดีเท่าตั้งป้าย 200 บาทแล้วลดราคา 50%

Ex2 : มีการเพิ่มน้ำอัดลมขนาดใหม่แบบจัมโบ้ของร้านแมคโดนัลด์ในสหรัฐ ผลลัพธ์คือขนาดใหม่แบบจัมโบ้ขายไม่ดีนัก แต่ยอดขายน้ำกลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากแก้วขนาดใหญ่ ขายได้มากกว่าเดิม

ผลเป็นเช่นนี้สืบเนื่องมาจากกรณีของตัวเลือก ถ้ามี 2 ตัวเลือก (ใหญ่/เล็ก) คนจะมองว่าแก้วใหญ่นั้นมากเกินความต้องการ

แต่ถ้ามี 3 ตัวเลือก (จัมโบ้/ใหญ่/เล็ก) คนกลับมองว่าแก้วใหญ่นั้นกำลังเหมาะสม

Ex3 : เวลานายหน้าพาลูกค้าไปเลือกบ้านเช่าก็เช่นกัน เค้ามักจะมีหลังในใจที่จะให้เลือก วิธีการคือเค้าจะพาไปดูหลังที่โทรมหรือแพงกว่าก่อน 2-3 หลัง แล้วจึงพามาหลังที่ต้องการ

ลูกค้าจะรู้สึกว่าสภาพไม่เลว ราคาเหมาะสม ทำให้ตัดสินใจได้ง่าย …นี่เป็นกลลวงอย่างหนึ่ง

Ex 4 : ในการเจรจาต่อรอง จะมีกลยุทธ์ล่อให้ฝ่ายตรงข้ามลงทุนลงแรงไปกับการต่อรองนั้นมาก ๆ ยิ่งฝ่ายตรงข้ามลงทุนไปมากเท่าไร ฝ่ายตรงข้ามก็จะมีความรู้สึกว่า จะต้องได้อะไรกลับมาจากการต่อรองนั้นบ้าง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตัดสินใจ

วิธีการง่าย ๆ คือ ฝ่ายที่ใช้กลยุทธ์นี้จะไม่รีบร้อนเจรจาเรื่องส่วนแบ่งผลประโยชน์ขั้นสุดท้าย จะเจรจาเรื่องปลีกย่อยก่อน เพื่อพยายามทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเวลาไปกับการเจรจาให้มากที่สุด

Ex5 : สำหรับนักช้อป

คนที่พูดว่า “ขอโทษนะคะ อันนี้ราคาเท่าไหร่” หรือ “ขอโทษนะคะ ช่วยลดราคาหน่อยได้ไหม ” นั่นเป็นคำพูดของคนที่ไม่มั่นใจตนเอง การกล่าวคำขอโทษทั้งที่ไม่ได้ทำผิดเป็นการส่งสัญญาณว่า “ไม่ใช่นักต่อรองที่ดี”

พอคนขายได้ยินก็มักจะไม่ลดราคาให้ (จริงๆ มันอาจจะแสดงถึงผู้ซื้อเป็นคนสุภาพก็ได้นะ)

และกลวิธีสุดท้ายเพื่อสร้างอิทธิพลต่อการตัดสินใจ คือ การสร้างบุญคุณ!

• สรุป

การใช้กลยุทธ์…เป็นการพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ทะลุปรุโปร่ง โดยอาศัย การรวบรวมข้อมูล ตลอดจนวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองอย่างถ่องแท้

จากนั้นจึงเลือกทางเลือกที่ทำให้เราสามารถใช้จุดแข็งที่เรามีให้เกิดข้อได้เปรียบสูงสุด และปิดจุดอ่อนที่เรามีอยู่ให้ส่งผลเสียต่อเราให้น้อยที่สุดโดยคำนึงถึงสถานการณ์นั้น ๆ

::::::::::::::::::

#Life101Page #LifeStrategy