Posts from the ‘แนวคิด’ Category

“การตายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เสียใจ การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขก็เช่นกัน”

“เราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเองมากเกินไป อาชีพ ครอบครัว หาเงิน กู้เงิน ซื้อรถใหม่ ซ่อมรถ ซ่อมบ้าน การกระทําเล็กๆ น้อยๆ ของเราหลายล้านสิ่งเพื่อให้ชีวิตดําเนินต่อไป“

”มันมากเกินจนทำให้เราลืมที่จะหยุดนิ่ง มองชีวิตที่ผ่านมาของเรา และพูดว่า ‘นี่คือทั้งหมด? นี่คือชีวิตทั้งหมดของเรางั้นหรือ?‘ อะไรบางอย่างมักขาดหายไปเสมอ”

เกือบ 30 ปีแล้วที่ มอร์รี ชวาตซ์ ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาเกษียณอายุแล้วจากมหาวิทยาลัยแบรนไดส์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่กําลังจะเสียชีวิตจากโรค ALS ได้นั่งลงกับ เท็ด คอปเปล ผู้ประกาศข่าว “Nightline” ของ ABC ในตอนนั้นเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความตาย

“วัฒนธรรมบนโลกเรามองความตายในแง่ของความกลัว ไม่กล้าพูดถึงมัน ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไรกับมัน สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือ มีวิธีอื่นในการมองมันหรือไม่”

ชวาตซ์กล่าวในฤดูใบไม้ผลิปี 1995 ไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป

เขาและคอปเปลได้พูดคุยกันสองสามครั้งจนมันได้กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ยอดนิยมที่สุดที่เคยออกอากาศ

“สุดท้ายแล้ว โรคร้ายนี้จะไม่มีวันเอาจิตวิญญาณของฉันไป… มันเอาร่างกายไป แต่มันไม่มีวันที่จะได้จิตวิญญาณของฉัน”

หนึ่งในผู้ชมที่เฝ้าดูรายการในเวลานั้นคือ มิทช์ อัลบอม อดีตลูกศิษย์ของชวาตซ์ที่ไม่ได้ติดต่อกับอาจารย์ของตนมาหลายสิบปี

หลังจากรู้ว่าศาสตราจารย์เก่าของเขากำลังจะตาย เขาจึงเริ่มไปเยี่ยมทุกวันอังคารจนกระทั่งชวาตซ์เสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1995

มันได้กลายเป็นคลาสสอนชีวิตครั้งสุดท้ายที่ทรงคุณค่า

หลังจากนั้นอัลบอมได้รวบรวมสิ่งที่ชวาตซ์สอน เขียนเรื่องราว‘คลาสสอนครั้งสุดท้าย’ของพวกเขา และตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า “Tuesdays with Morrie” ที่ประสบความสําเร็จอย่างล้นหลามและขายได้มากกว่า 18 ล้านเล่ม

และเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผมชอบตลอดกาล

“เมื่อมีคนกําลังจะตาย เมื่อฉันกําลังจะตาย ไม่จําเป็นที่ต้องมารอรับความตาย ฉันยังให้ได้”

ชวาตซ์ยังสามารถทําสิ่งที่เขารักต่อไปได้ นั่นคือการสอนคนอื่น

และนี่คือหนึ่งในบทเรียนที่เขาได้มอบไว้ให้เรา

“เสียงหัวเราะเป็นสิ่งสําคัญอย่างเหลือเชื่อ คุณต้องมีเสียงหัวเราะในชีวิตของคุณ ค้นหาสิ่งที่ทําให้คุณหัวเราะและดื่มด่ํากับสิ่งนั้น”

“ความตายพรากแค่ชีวิต มันไม่พรากความสัมพันธ์“

“หลายคนเดินไปมาด้วยชีวิตที่ไร้ความหมาย พวกเขาดูเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง พวกเขามักจะบอกว่ายุ่งอยู่กับการทําสิ่งที่คิดว่าสําคัญ แต่พวกเขากําลังไล่ตามสิ่งที่ผิด วิธีที่คุณได้รับความหมายในชีวิตของคุณคือการอุทิศตัวเองเพื่อคนที่คุณรัก อุทิศตัวเองให้กับคนรอบตัวคุณ และอุทิศตัวเองเพื่อสร้างบางสิ่งที่มีความหมายแก่คุณ“

“เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะตาย คุณก็เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต”

“ยอมรับว่าคุณเป็นใคร ไม่ใช่ที่สังคมกำหนดให้คุณ และสนุกไปกับมัน”

“อย่าปล่อยอะไรเร็วเกินไป แต่อย่ารออะไรนานเกินไป”

“อย่ายึดติดกับสิ่งต่างๆ เพราะทุกอย่างไม่ถาวร”

“วัฒนธรรมที่เรามีไม่ได้ทําให้ผู้คนรู้สึกดีกับตัวเอง เรากําลังสอนสิ่งที่ผิด และคุณต้องเข้มแข็งพอที่จะบอกว่าถ้าวัฒนธรรมในสังคมนี้มันไม่ได้ผล อย่าไปทำตามมัน อย่าไปเชื่อทุกสิ่ง จงสร้างของคุณขึ้นมาเอง คนส่วนใหญ่ทําในสิ่งนี้ไม่ได้”

“มีกฎสองสามข้อเกี่ยวกับความรักและการแต่งงานที่ฉันพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง: ถ้าคุณไม่เคารพกันและกัน คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง ถ้าพวกคุณไม่รู้ว่าจะประนีประนอมกันอย่างไร คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง หากพวกคุณไม่สามารถพูดคุยอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคุณ คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง และถ้าคุณมีความคิดเกี่ยวกับชีวิตไม่เหมือนกัน คุณจะมีปัญหาใหญ่หลวง“

“ฉันมักร้องไห้ให้กับตัวเองถ้าฉันต้องการ แต่แล้วเมื่อหยดน้ำตาหมดลง ฉันจะจดจ่ออยู่กับสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่ยังคงอยู่ในชีวิตของฉัน“

“หากคุณกําลังพยายามอวดคนที่อยู่ด้านบน ลืมมันไปซะ พวกเขาจะดูถูกคุณอยู่ดีไม่ว่าคุณจะทำอย่างไรก็ตาม และถ้าคุณกําลังพยายามอวดคนที่อยู่ด้านล่าง ลืมมันไปได้เลยเช่นกัน พวกเขามีแต่จะอิจฉาคุณ สถานะทางสังคมจะไม่มีทางพาคุณไปไหน มีเพียงหัวใจที่เปิดกว้างเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณลอยไปหาทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน“

“ผู้คนหิวกระหายความรักจนทำในสิ่งที่ผิด พวกเขาโอบกอดสิ่งของ วัตถุมีค่า เงินตรา และคาดหวังความรักกลับมา แต่มันไม่เคยได้ผล คุณไม่สามารถทดแทนสิ่งของเพื่อความรักหรือมิตรภาพได้ เงินและอำนาจไม่สามารถทดแทนความรักได้ ฉันสามารถบอกคุณได้ เพราะขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นี่ กําลังจะตาย ทั้งเงินหรืออํานาจไม่ให้สิ่งที่คุณกําลังมองหา ไม่ว่าคุณจะมีมากแค่ไหนก็ตาม“

“เมื่อคุณเติบโต คุณจะเรียนรู้มากขึ้น ถ้าคุณอยู่อย่างโง่เขลาเหมือนตอนอายุ 22 คุณจะเป็นคนโง่อายุ 22 เสมอ การแก่ชราไม่ใช่แค่การเสื่อมของร่างกาย มันคือการเติบโต แง่ลบคือคุณกําลังจะตาย แง่บวกคือคุณเข้าใจว่าคุณกําลังจะตาย และคุณมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเหตุนี้“

“ไม่มีคําว่า “สายเกินไป” ในชีวิต”

“ฉันคิดถึงผู้คนที่ฉันรู้จักซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันรู้สึกเสียใจกับตัวเอง จะดีแค่ไหนหากเราเสียใจกับตัวเองน้อยลง เพียงไม่กี่นาทีที่เต็มไปด้วยน้ําตา จากนั้นก็ยิ้มให้กับความสุขในแต่ละวันที่เหลือ”

“ให้อภัยตัวเอง สําหรับทุกสิ่งที่เราไม่ได้ทํา ทุกสิ่งที่เราควรทํา คุณไม่สามารถติดอยู่กับความเสียใจกับสิ่งที่ควรเกิดขึ้น”

“การตายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เสียใจ การใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขก็เช่นกัน”

“ใช้ชีวิตคุ้ม”

คำว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม” นั้น หมายถึงการใช้ชีวิตที่เต็มอิ่มและมีความสุข โดยไม่เสียดายเวลาและโอกาสที่มีอยู่ แต่ละคนอาจตีความคำว่า “คุ้ม” แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคุณค่าและเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคน

สำหรับบางคน การใช้ชีวิตคุ้มอาจหมายถึงการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินทองมากมาย หรือมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สำหรับบางคน การใช้ชีวิตคุ้มอาจหมายถึงการได้ใช้ชีวิตตามฝัน ได้ทำในสิ่งที่รัก ช่วยเหลือผู้อื่น หรือมีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรคำนึงถึงคือ การใช้ชีวิตคุ้มนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เสมอไป บางครั้งการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือเป็นการใช้ชีวิตคุ้มค่าเช่นกัน

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการใช้ชีวิตคุ้มค่า

  • ได้ทำในสิ่งที่รักและถนัด
  • ประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งมั่น
  • มีเงินทองเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว
  • มีสุขภาพแข็งแรง
  • มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
  • ช่วยเหลือผู้อื่น
  • ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม
  • มีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน

ท้ายที่สุดแล้ว คำว่า “ใช้ชีวิตคุ้ม” นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่จะกำหนดความหมายของคำว่า “คุ้ม” ให้เหมาะกับตัวเอง สิ่งสำคัญคือเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุขกับทุกช่วงเวลาที่เรามี

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการใช้ชีวิตคุ้มค่า

  • รู้จักตัวเองและค้นหาสิ่งที่ตัวเองรัก
  • ตั้งเป้าหมายในชีวิตและมุ่งมั่นที่จะทำตาม
  • เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
  • รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
  • ช่วยเหลือผู้อื่น
  • มองโลกในแง่ดีและมีความสุขกับทุกช่วงเวลา

ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความสุขนะครับ

25 ข้อคิดที่ชอบจากหนังสือ ความลับของความสุข( Secrets Of Happiness)

25 ข้อคิดที่ชอบ
จากหนังสือ ความลับของความสุข
( Secrets Of Happiness)

  1. ชีวิตไม่ได้เปลี่ยน
    เพราะคำพูดของใครบางคน
    แต่คำพูดที่มีพลัง
    ทำให้เราอยากเปลี่ยน “พฤติกรรม”
    จากนั้นเองชีวิตจึงค่อยๆเปลี่ยนแปลง
  2. เมื่อไม่ยึดติดว่า “ ฉันเป็นแบบนี้”
    เราจะพบตัวเองในเวอร์ชั่นอื่น
  3. คนบนโลกนี้ไม่เหมือนกัน
    เราก็มีวิถีเรา เขาก็มีวิถีเขา
    กระนั้น เราเองก็มีสิทธิ์เลือกและ
    เดินไปตามทางที่เราคิดฝันตั้งใจ
    แล้วเรียนรู้จากเส้นทางนั้น
  4. เพราะในชีวิตมีสิ่งล่อใจมากมาย
    เงิน ตำแหน่ง อำนาจ ชื่อเสียง
    บางทีก็ยั่วยวน แต่คำถามคือ
    “ เราอยากได้มันไหม”
  5. เราทำอะไรได้ดีไม่มากนักหรอก
    แต่เราก็ไม่ได้อยากได้อะไรมากนักเช่นกัน
    บางครั้งเราเพียงหลงคิดว่าเราทำได้เยอะ
    และหลงอยากได้มากกว่า
    ที่ต้องการและจำเป็น ชีวิตจึงสับสน
  6. ความสม่ำเสมอคือ
    พื้นฐานของความสำเร็จในระยะยาว
    ในตอนเริ่มต้นนั้นมีคนออกสตาร์ทพร้อมเราจำนวนมาก
    นักฝันมีมากนักลงมือทำมีน้อย
    แต่น้อยกว่านั้นคือคนที่ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ
  7. จิตของผู้เริ่มต้น จิตไม่รู้
    เป็นเรื่องเดียวกับจิตที่ไม่มีอัตตา เมื่อไม่มีอัตตา
    จึงเปิดกว้าง พร้อมเรียนรู้กับทุกคนและทุกสิ่ง
  8. “ชนกำแพงจึงเห็นกำแพง”
    เมื่อใช้ชีวิตและทำงานไปถึงจุดหนึ่งเรามักชน
    กำแพงบางอย่าง อาจเป็นความรู้สึกตัน สร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่ค่อยออก ดังนั้น ช่วงที่ชนกำแพงเป็นช่วยเวลาแห่งการขยายขอบให้กว้างกว่าเดิม
  9. การได้รู้เรื่องราวของ “คนยังไม่สำเร็จ” บ้างเป็นการเติมพลังที่ดี เพราะเราก็กำลัง
    อยู่ในระหว่างทางเช่นกัน บ่อยครั้ง
    เรื่องราวเหล่านี้ช่วยฉุดเราออกจากฟองสบู่งงๆ
    ที่คนตั้งชื่อว่า “ความสำเร็จ” ให้กลับมา
    อยู่กับชีวิตจริงที่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ
    ไม่ต้องมีมาก แต่มีบ้างก็น่าดีใจแล้ว
    ไม่ต้องไปให้ถึงยอด เดินไปเรื่อยๆ เดินให้สนุก เหนื่อยบ้างก็ได้ แค่ให้รู้ว่าทางเดินที่เดินอยู่มันโอเค “เราก็แค่ตั้งใจเดินบนทางของเรา”
  10. เริ่มต้นเล็กๆ ต้นทุนต่ำ ลงไปเล่น
    ในสนามที่แพ้ได้ดูก่อน
    สิ่งที่ได้ติดมือมาด้วยคือ “วิชา” จากการล้ม
    นอกจากล้มให้เร็ว ล้มให้ราคาถูกแล้ว
    ทุกครั้งที่ล้ม….ขอให้ล้มไปข้างหน้าเสมอ
  11. ถ้าบอกกับตัวเองตอนอายุ 18
    ได้จะบอกอะไรกับตัวเอง
    • จะบอกว่าอย่าซีเรียสกับชีวิต
      เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทดลอง
    • ชีวิตไม่มีคำตอบสำเร็จรูป
    • ชีวิตคือการเดินดุ่มไปในความไม่สมบูรณ์แบบ
    • สนุกกับการออกนอกเส้นทางที่ตัวเองขีดไว้
    • อย่าเอาไม่บรรทัดของคนอื่นมาวางทาบชีวิตเรา
      และสุดท้าย จงวางใจว่าชีวิตจะพาเราไปสู่จุดที่เราเข้าใจมันมากขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น
  12. เมื่อไม่มีทางที่ผิดหรือถูก เราเพียงเลือกในเวลาที่ต้องเลือก ลุยไปให้ดีที่สุดชีวิตมีพื้นที่กว้างขวาง ไม่ใช่ลู่วิ่งแข่ง เมื่อไม่แข่งกับใคร เราจะสนุก
    และไม่ถูกหลอกด้วยเส้นชัยของการเปรียบเทียบ
  13. ถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้จะแก้ไขอะไร คำถามยอดฮิตที่มันจะหยิบขึ้นมาถามกันเล่นๆและคนส่วนใหญ่จะตอบว่าไม่แก้ไขอะไร เพราะอดีตทำให้เขากลายเป็นอย่างวันนี้
    นอกจากคำตอบด้านบน อดีตยังมีคุณค่าในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือมันช่วยทำให้อนาคตไม่เป็นเหมือนที่ผ่านมา อดีตทำให้เราผิดน้อยลง ถูกมากขึ้น
    ตัดสินใจได้ดีขึ้น
  14. ถ้าพูดถึง “ค่าตอบแทน”
    จากการทำงาน คนจำนวนมากคงคิดถึง เงิน
    แต่ที่จริงงานแต่ละชิ้นมีค่าตอบแทน
    หน้าตาแตกต่างกัน เช่น ประสบการณ์
    / ความรู้ / ความสัมพันธ์ / คอนเน็กชั่น
    / ความสบายใจ / ความอิ่มเอม
    / ความภูมิใจ / ความสุข
    มี “ค่าตอบแทน” ดีงามที่ไม่ใช่เงินอยู่จริง
    ความคุ้มไม่ใช่สิ่งที่วัดด้วยตัวเลขเสมอไป
  15. ถ้าหาเวลาทำสิ่งใดไม่ได้ ให้สร้างเวลานั้นขึ้นมา ไม่ว่าชีวิตคุณจะยุ่งแค่ไหนถ้าอยากทำสิ่งใดก็ตาม
    จง “สร้างเวลา” สำหรับสิ่งนั้นขึ้นมา แล้วลงมือทำมัน
  16. ทุกเรื่องราวต่อให้ดีแค่ไหนก็ตาม
    สุดท้ายมันต้องสิ้นสุดลง
    ทุกความสำเร็จก็เช่นกัน
  17. ถึงที่สุดแล้ว การถอยออกมามองด้วยมุมมองที่กว้างและไกลขึ้นคือการให้โอกาสตัวเองมองสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่ “สมจริง” เช่นกันกับเลนส์กล้อง
    หากเอาเลนส์มาโครส่องความทุกข์
    มันก็จะขยายใหญ่เหมือนมดตัวจิ๋วที่กลายเป็นยักษ์ แต่ถ้าเปลี่ยนเป้นเลนส์ไวด์มดตัวนั้นจะกลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของสภาพแวดล้อมที่ใหญ่โตกว่านั้นอีกมาก
  18. เราคาดหวังสิ่งใดจากการทำงาน แน่นอนเพื่อความอยู่รอด ต้องการรายได้ แต่มากกว่านั้น
    เราต้องการเติบโตผ่านงานที่ทำ มองในแง่นี้
    “การทำงานคือ หนทางสู่การเป็นคนที่
    สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ”
  19. จานที่ล้างง่ายที่สุดคือจานที่เพิ่งกินเสร็จ ห้องที่จัดง่ายที่สุดคือห้องที่จัดทุกวันในชีวิตง่ายเมื่อจัดการแต่เนิ่นๆ ยากและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพอกหางหมู
    แต่บางอย่างกับตรงข้าม ทุเรียนปลูกหลายปีกว่า
    จะออกผล ความลับชีวิตต้องเรียนรู้หลายปี
    บางอย่างก็เร่งไม่ได้ มีเวลาเหมาะสมของมัน
  20. การงานคือความหมายของชีวิต
    การพักคือความสุขของชีวิต
    ในมุมหนึ่งชีวิตต้องการความหมาย
    ในอีกมุมชีวิตต้องการความสุข
  21. บางโอกาสของชีวิตต้องรีบ
    และบ่อยมากที่ต้องรอ
    หยุดสักนิด รอสักหน่อยจะตอบสนองได้ดีกว่า
  22. เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์เรามักคิดว่าต้อง
    “ทำอะไรบ้างจึงสร้างสัมพันธ์ที่ดี”
    แต่ในอีกมุมซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน
    เราต้องรู้ด้วยว่าต้อง “ไม่ทำ” อะไรบ้าง
    จึงเกิดระยะห่างที่สบายใจ
  23. ชีวิตที่น่าปรารถนาอาจเป็นชีวิต
    ที่ทนได้กับสิ่งที่ไม่อยากได้
    เพราะโชคชะตามักโยนสิ่งที่
    ไม่อยากได้มาให้เราเสมอ
  24. เมื่อจะก้าวไปข้างหน้าเรา
    มักเห็นว่า “ได้รับ” อะไรเพิ่มขึ้น
    แต่ไม่ค่อยเห็นว่าต้อง “จ่าย” อะไรไปบ้าง
    ระหว่างทางที่จะขึ้นสูงไปอีก วิวยอดเขา
    ไม่จำเป็นต้องสวยกว่าเนินเขา
  25. เมื่อเดินทางมาถึงวันหนึ่ง
    เราอาจพบว่าเกณฑ์วัดต่างๆ เพียงเกิดขึ้น
    ในสนามหนึ่ง ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อก้าวเท้าออกนอกสนาม ชีวิตกว้างขวางเหลือเกินเปิดโอกาส
    ให้สนุกกับสิ่งที่สนใจ ลดทอนความจริงจัง
    “ซึ่งมันก็ควรถูกเรียกว่าชีวิตเช่นกัน”

Roundfinger

เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

เหตุผลในการใช้ชีวิตมีอยู่หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับมุมมอง ความชอบ และประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน โดยเหตุผลในการใช้ชีวิตของคนส่วนมากสามารถแบ่งออกมาได้สี่มุมมอง ก็คือ การหาความสุข ก้าวผ่านความทุกข์ หาเป้าหมาย และ การทิ้งมรดกให้คนอื่น

สิ่งแรกที่ทุกคนต้องเข้าใจก็คือ มนุษย์แต่ละคนมีมุมมองชีวิตไม่เหมือนกัน ทฤษฎีเกี่ยวกับการใช้ชีวิตมีอยู่มากมาย ซึ่งก็คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าวิธีคิดแบบไหนดีกว่า หรือมีค่ามากกว่าวิธีคิดของคนอื่น ข้อดีก็คือ ผมเรียบเรียง ‘ตัวเลือก’ ไว้ให้คุณเยอะ นำไปอ่านแล้วพิจารณาเองได้เลยว่าแบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณ

นอกจากนั้น หากคุณเป็นคนที่กำลังเหนื่อยกับชีวิต รู้สึกไม่มีความสุข ไม่ค่อยมีเป้าหมาย สิ่งแรกที่คุณต้องดูแลก่อนก็คือ ‘ร่างกายตัวเอง’ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายที่ได้ระบุไว้ว่า ‘ความสุข’ ส่วนหนึ่งมาจากสุขภาพร่างกายที่ดี เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะเหนื่อยน้อยกว่า ผลิตฮอร์โมนแห่งความสุขได้มากกว่า

เพราะฉะนั้น ก่อนที่คุณจะเรียนเกี่ยวกับเหตุผลในการใช้ชีวิต ให้เริ่มออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบห้าหมู่ นอนหลับให้พอดี หากร่างกายไม่พร้อม คำตอบก็ไม่มาหาคุณครับ (ไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไร ถือว่ายอมโดนคนไม่รู้จักหลอกให้ออกกำลังกายซักสามสี่วัน ชีวิตไม่แย่ลงหรอก)

…แต่ถ้าคุณพร้อมแล้ว เราไปดู 11 เหตุผลในการใช้ชีวิต สำหรับคุณกันเลย

11 เหตุผลในการใช้ชีวิต สำหรับคุณ
การหาความสุข
ความสุขกับการใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันในสายตาคนทั่วไป ข้อดีก็คือหากเรามีความสุขเราก็จะรู้สึกดี การตั้งเป้าหมายชีวิตเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่อะไรใช่ไหมครับ ข้อเสียคือความสุขมีนิยามหลากหลาย ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขของคนอื่น ทำให้การแปล ‘ความสุข’ (ที่เป็นนามธรรม) ให้ออกมาเป็นภาพลักษณ์ที่จับต้องได้ (รูปธรรม) นั้นทำได้ยาก

ปัญหาของคนส่วนมากก็คือ ‘ไม่รู้ว่าความสุขคืออะไร’ หากเราทำสิ่งที่คิดว่าจะทำให้เรามีความสุข แต่เรากลับไม่มีความสุข นั้นก็เพราะว่าคุณโดนตัวเองหลอก หรือเข้าใจตัวเองผิดไปเอง ในเรื่องของการนิยามความสุข ผมแนะนำให้ทุกคนอ่านบทความของผมเรื่อง ความสุขคืออะไร และ ego คืออะไร นะครับ

เหตุผล #1 – เป้าหมายชีวิตคือการมีความสุข
ผมคิดว่าหลายคนมีมุมมองความคิดแบบนี้ คนเรามีเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นก็ควรมีความสุขเข้าไว้ สิ่งที่หลายคนค้นพบในชีวิตก็คือ ‘ความสุขขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิต’ หากเรามองโลกในแง่ดี เลือกที่จะมองแต่สิ่งดีๆ ต่อให้เรามีปัญหาเราก็มีความสุขได้

สิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ มุมมอง ไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้มาภายในวันสองวัน เราต้องฝึกปรับมุมมองตัวเอง บางคนก็ใช้เวลาเป็นปี นอกจากนั้นแล้วต่อให้เราปรับได้ โอกาสที่มุมมองเราจะ ‘หลุด’ เวลาชีวิตมีปัญหา ก็มีเยอะ เปรียบได้กับการออกกำลังกาย หากเลิกทำเมื่อไรเราก็กลับมาอ้วนใหม่

จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก โดยรวมแล้ว จะฝึกมองโลกในแง่ดีไว้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

เหตุผล #2 – ชีวิตคือมอบความสุข
ในขณะที่บางคนคิดว่าชีวิตคือการเก็บเกี่ยวความสุข หลายคนก็พบสัจธรรมชีวิตว่า ‘การให้’ ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นการทำเพื่อครอบครัว เพื่อคนรัก หรือเพื่อคนที่เราไม่รู้จักเลยก็ตาม

คนเป็นแม่ ต่อให้ต้องอดข้าว แต่ถ้าเห็นลูกกินอย่างมีความสุขก็รู้สึกดีแล้ว บางคนก็ค้นพบว่าการให้ทำให้ ‘เข้าใจคุณค่า’ ของตัวเองมากขึ้น เราคงไม่เข้าใจข้อดีของโอกาสและสิ่งของที่เรามี จนกว่าจะเห็นคนที่ต้องการสิ่งนี้มากกว่าเรา

ความพิเศษของการให้ก็คือเราสามารถทำได้อย่างไม่มีจำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจะเปิดใจเพื่อช่วยเหลือคนอื่นมากแค่ไหน

เหตุผล #3 – เป้าหมายชีวิตคือการได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ
สำหรับหลายคน ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับมุมมอง แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำ เช่นได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ ได้กินของอร่อย หรือได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ

ความสุขแบบนี้เป็นความสุขกับการผูกมัดกับสิ่งที่มีรูปธรรม สามารถทำให้จับต้องได้ง่ายมากกว่า แต่ก็จะทำให้เราผิดหวังได้ง่ายเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ‘การทำงาน’ ต่อให้เราได้งานที่เราชอบ มีเงินเดือนมากพอใช้จ่าย แต่สุดท้ายแล้วพอผ่านไป 5ปี 10ปี ความเบื่อ ความไม่พึงพอใจ ก็จะตามเรามาได้เสมอ

ผมไม่ได้บอกว่าความสุขแบบนี้ไม่ดี เพียงแต่คุณควรที่จะมีความสุขแบบนี้ ‘ควบคู่’ ไปกับความสุขอย่างอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นเวลาคุณท้อ คุณก็จะท้อหนักเลย

การลดความทุกข์
หากเรามองว่าความสุขคือเหตุผลในการใช้ชีวิต สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสุขก็คงมีความเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเลี่ยงได้ ชีวิตบางคนก็ทุกข์มากกว่าคนอื่น และถึงแม้ว่าคงไม่มีใครที่อยากจะทุกข์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะหาประโยชน์จากความทุกข์ไม่ได้เลย

เหตุผล #4 – การลดหรือกำจัดความทุกข์
หลายคนคิดว่าชีวิตน่าจะมีค่ามากกว่านี้หากเราไม่มีความทุกข์ ซึ่งก็มีความจริงในระดับหนึ่ง หากชีวิตเรามีปัญหา หากรอบตัวเรามีปัญหา โอกาสที่เราจะมีความสุขก็คงมีน้อยลง

แต่การที่คุณจะหาเหตุผลในการใช้ชีวิตจากความทุกข์ คุณก็ต้องวาดเส้นให้ได้ว่าอยู่ที่จุดไหนคุณถึงจะพอใจ หากคุณตอบตัวเองตรงนี้ไม่ได้ ต่อให้ชีวิตดีขึ้น มีเงินมากขึ้น ได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากขึ้น ความทุกข์ของคุณก็จะเท่าเดิม

หนึ่งก็คือเราต้องเข้าใจว่า ความไม่พอใจในตัวเองและความทุกข์คือเครื่องมือที่มนุษย์มีไว้เพื่อผลักดันตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ที่พอใจในตัวเองก็จะไม่พัฒนา และสิ่งมีชีวิตที่ไม่พัฒนาก็จะสูญพันธุ์ เป็นกลไกตามธรรมชาติ ในกรณีนี้หากจิตใจคุณกำลังทุกข์อยู่ คุณก็ต้องหาทางแก้ไข แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ความทุกข์นั้นหยุดตัวคุณ

และสองก็คือความทุกข์ไม่มีทางหมดไปได้ คุณอาจจะทำให้ความทุกข์น้อยลงได้ แต่สำหรับบางคนถูกยุงกัด นอนตกหมอน ก็เป็นความเจ็บปวดที่เป็นความทุกข์เช่นกัน ในส่วนนี้ก็ให้หาวิธีแก้ไขลดความทุกข์ตามความเหมาะสมของตัวเองนะครับ

เหตุผล #5 – สร้างค่าให้ความทุกข์
เป็นมุมมองของคนที่สู้ชีวิต หลายคนมองว่าอุปสรรคหรือความทุกข์ก็คือความท้าทาย เป็นสิ่งที่เราสามารถก้าวผ่านเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น

คนกลุ่มนี้มองว่าหากความทุกข์เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เราก็คงจำเป็นต้องหาประโยชน์จากความทุกข์ให้มากที่สุด เพราะเรามีเวลาที่จำกัด ชีวิตก็มีชีวิตเดียว จะให้ใช้เวลาอยู่กับความทุกข์นานโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยก็คงไม่ดี เหมือนการเรียนเต้นรำกลางสายฝน

ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถมองชีวิตแบบนี้ได้ และบางครั้งคนที่มองชีวิตแบบนี้ก็ ‘หลุด’ กลับมาท้อชีวิตได้เช่นกัน ผมคิดว่าเหตุผลนี้ควรจะใช้ควบคู่กับคำตอบอื่นๆในบทความด้วย เพื่อที่เราจะไม่ต้องกดดันตัวเองมากไป

ผมแนะนำให้อ่านบทความเรื่อง แนวคิดสโตอิก ที่จะพูดถึงปรัชญาของกลุ่มคนที่นำความทุกข์มาเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น นับว่าน่าสนใจเลยทีเดียว

หาเป้าหมาย
คนบางประเภทอยู่เฉยๆไม่ได้ครับ หากไม่ได้ทำอะไรนานๆก็จะรู้สึกหงุดหงิด จิตใจว้าวุ่น รู้สึกว่างเปล่า คำว่า ‘นานๆ’ นี้สำหรับบางคนก็คือ 1 อาทิตย์ สำหรับบางคนก็คือ 10 ปี จิตใจคนเราก็เหมือนกับร่างกายครับ ถ้าไม่ได้เคลื่อนไหวนานๆร่างกายก็จะรู้สึกช้า หากเราไม่ได้ทำอะไรบ้าง จิตใจเราก็คงรู้สึกว่างเปล่า

เหตุผล #6 – การสร้างความสัมพันธ์
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคมทั้งในเชิงสังคมศาสตร์และเชิงวิทยาศาสตร์ หากมนุษย์ไม่ช่วยเหลือกัน ในฐานะสิ่งมีชีวิตเราก็คงไม่สามารถคงอยู่ได้นานถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นแล้ว หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็มีอยู่เยอะ ร่างกายคนเรามีฮอร์โมนแห่งความสุขที่เรียกว่าเซโรโทนินกับออกซิโทซิน (Serotonin & Oxytoxin) ที่จะถูกผลิตเวลาเราได้อยู่กับคนรัก ได้รู้สึกว่าถูกยอมรับในสังคม

‘กำลังใจ’ จากภายนอกเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้จะมีคนส่วนน้อยที่อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว คุณก็ไม่ได้จำเป็นต้องเหมือนคนเหล่านี้ก็ได้ หากคุณมีความสุขที่ได้อยู่กับคนรัก ได้อยู่กับครอบครัว หรือได้อยู่กับเพื่อน บางครั้งคำตอบในชีวิตของคุณอาจจะอยู่ที่ ‘ช่วงเวลา’ เหล่านี้ ซึ่งคุณก็ควรรักษาไว้ให้ดี

เหตุผล #7 – การตอบคำถามชีวิต
ชีวิตเรามีคำถามมากมาย และแน่นอนว่าไม่มีใครชอบการมีคำถามค้างคา ซึ่งคำถามในชีวิตของคนเราก็มีหลายอย่าง เราเกิดมาเพื่ออะไร เราชอบอะไรกันแน่ เราอยากทำอะไร หากคำถามเหล่านี้มีความสำคัญกับเรา ถ้าเราตอบไม่ได้เราก็คงรู้สึกหงุดหงิด

‘ความอยากรู้’ เป็นบุคลิกอย่างหนึ่งของมนุษย์ หากเราไม่ตั้งคำถามเราก็ไม่มีคำตอบ การตั้งคำถามและหาคำตอบคือสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์และนักธุรกิจทั้งหลายสามารถเปลี่ยนโลกได้

เพราะฉะนั้น หากเหตุผลในการใช้ชีวิตของคุณมาจากคำถามอะไรก็ได้ คุณก็สามารถเริ่มจากการตอบคำถามเหล่านี้ ซึ่งวิธีหาคำตอบก็มีมากมาย เช่น การอ่านหนังสือ การออกไปเจออะไรใหม่ๆ การคุยกับคนที่คิดต่าง หรือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของตัวเอง

จำไว้ว่าหากเป็นคำถามที่สำคัญจริงๆ ต่อให้คุณต้องใช้เวลาทั้งชีวิต มันก็คุ้มที่จะหาคำตอบ

เหตุผล #8 – การถูกเติมเต็ม
ในหลักจิตวิทยา เป้าหมายของมนุษย์ก็คือการถูกเติมเต็ม บางครั้งเราก็อาจเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความสบายใจ’ หรือบางคนก็อาจเรียกว่าสิ่งที่ตรงข้ามกับ ‘ความรู้สึกว่างเปล่า’

การอธิบายว่า ‘ความรู้สึกถูกเติมเต็ม’ คืออะไรหรือทำได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่ว่างเปล่า การให้อธิบายความรู้สึกเติมเต็มก็คงเหมือนกับการให้จินตนาการสีที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (แปลว่าทำไม่ได้)

ข้อดีก็คือ วิธีหาสิ่งที่เติมเต็มก็เหมือนกับวิธีหาเหตุผลในการใช้ชีวิตแบบอื่นๆ แปลว่าเราต้องใช้ความพยายามในการหาคำตอบ ทำอะไรใหม่ๆ ตรวจสอบสภาพจิตใจตัวเองเรื่อยๆ ตรวจสอบความชอบความไม่ชอบของตัวเองเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังให้โอกาสตัวเองได้ลองอะไรใหม่ๆเสมอ สักวันหนึ่งเราก็จะหาสิ่งที่เติมเต็มตัวเองได้แน่นอน เพียงแต่คุณต้องใช้เวลาและความอดทน

การทิ้งมรดก
มรดก หมายถึงการทิ้งอะไรให้คนอื่น

หลายคนอาจสงสัยว่าชีวิตหลังที่เราไม่อยู่แล้วเป็นอย่างไร ในส่วนนี้ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าเราจะไปไหนต่อ แต่สิ่งที่เราจับต้องได้มากกว่าก็คือการคำนึงถึงคนอื่น ซึ่งคำตอบที่คนส่วนมากมีกัน ก็คือการทิ้งอะไรให้คนข้างหลัง

เหตุผล #9 – การทิ้งมรดก
มรดกมาได้ในหลายรูปแบบ นักธุรกิจที่อยากสร้างองค์กรยิ่งใหญ่อยู่ได้เป็นร้อยปี ศิลปินก็อยากทิ้งผลงานให้โลกชื่นชม บางคนก็อยากทิ้งโลกที่ดีกว่าไว้สำหรับคนรุ่นหลัง

สาเหตุในความอยากทิ้งมรดกก็มีหลายอย่าง ความภาคภูมิใจส่วนตัว ความรักให้กับคนรุ่นหลัง หรือบางคนก็แค่อยากจะทิ้งแต่ส่วนหนึ่งของตัวเราให้โลกจดจำไว้

โดยรวมแล้ว คนที่อยากทิ้งมรดกก็มีความคาดหวังหรืออีโก้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แค่เราต้องบริหารความคาดหวังเหล่านี้และใช้ให้ถูกช่องทาง สิ่งเหล่านี้คือ ‘ดาบสองคม’ ที่ทำร้ายเราได้ แต่ก็ผลักดันเราให้ก้าวหน้าได้เช่นกัน

เหตุผล #10 – การช่วยคนอื่น
ในส่วนนี้ผมได้อธิบายไปเยอะแล้วเรื่องความสุขจากการให้และการทำเพื่อคนอื่น แต่หลายครั้งที่การช่วยคนอื่นไม่ได้มีเหตุผลก็เพราะความสุขอย่างเดียว เราช่วยคนอื่นเพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราช่วยคนอื่นเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ

ผมคิดว่าบุคคลกลุ่มนี้คือคนที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในใจที่ ‘แข็งแกร่ง’ กว่าคนอื่นๆ คนส่วนมากเพียงแค่ได้ทำดีหรือช่วยคนอื่นเล็กน้อยก็มีความสุขแล้ว แต่มีเพียงไม่กี่หยิบมือที่จะทุ่มเททั้งชีวิต เพราะเห็นคุณค่าของการช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ

ถึงแม้ว่าจะหาตัวได้ยาก โดยเฉพาะในสังคมทุนนิยมทั่วไป แต่ตัวอย่างคนที่หาเป้าหมายชีวิตได้จากการช่วยเหลือคนอื่นก็มีเช่น กลุ่มคนอาสาสมัครไปช่วยพื้นที่ยากไร้และในประเทศที่ขาดโอกาส ชีวิตคนเรามีเวลาจำกัด คนที่ทุ่มเทเวลาเหล่านี้ให้กับคนอื่นก็นับว่าน่าชื่นชมมากครับ

เหตุผล #11 – ครอบครัว
มรดกสุดท้ายก็คือครอบครัว ครอบครัวมีคุณค่าทางสังคมศาสตร์และทางจิตใจ เป้าหมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือการสืบพันธุ์ บางครั้งเราก็แยกไม่ค่อยออกว่าความรู้สึกที่เรามีอยู่มาจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือมาจากสิ่งที่เรารู้สึกจริงกันแน่ (แนะนำว่า หากคุณสับสนเรื่องเป้าหมายในชีวิตอยู่ก็อย่าคิดเรื่องนี้เยอะ เดี๋ยวจะเครียดเพิ่มไปใหญ่)

เอาเป็นว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง การได้ทำเพื่อคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะคนในครอบครัว หรือในสังคมใกล้ตัวเราก็เป็นเป้าหมายที่ดีอย่างหนึ่ง คุณแม่ส่วนมากมีความสุขจากการได้อยู่บ้านเลี้ยงลูก คุณพ่อที่ทำงานดึกๆเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว นับว่าเป็นความรู้สึกที่เราถูกเติมเต็มโดยไม่รู้ตัว

สุดท้ายนี้ เกี่ยวกับเหตุผลการใช้ชีวิต
ในบทความนี้ผมก็เขียนอธิบายมาเยอะแล้วนะครับเกี่ยวกับเหตุผลในการใช้ชีวิต หากคุณถามคนนับร้อยคน ส่วนมากก็จะตอบมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของในบทความนี้แหละ ซึ่งผมก็หวังว่าอย่างมากว่าคุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองได้ไม่มากก็น้อย ผ่านตัวอย่างต่างๆที่ผมเรียบเรียงไว้

สิ่งสุดท้ายที่อยากให้คุณเข้าใจก็คือ ‘เป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนได้’ ต่อให้คุณเคยมีเป้าหมายใดมาก่อน ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะสำเร็จหรือจะไม่มีค่าอีกแล้วตอนนี้ ชีวิตในปัจจุบันก็เป็นโอกาสที่ดีในการตามหาเป้าหมายใหม่ๆเสมอ ถึงขนาดบางคนบอกว่า ‘เป้าหมายชีวิตก็คือการหาเป้าหมาย’ นั่นแหล่ะ

ข้อคิดจากหนังสือ “กรรมของนักเล่นหุ้น

== ข้อคิดจากหนังสือ “กรรมของนักเล่นหุ้น” ==หนังสือเล่มนี้เขียนโดยทันตแพทย์สม สุจีรา เป็นหนังสือออกแนวจิตวิทยาการลงทุนที่บอกว่า เจ้ากรรมนายเวรเป็นความรู้สึกที่แฝงอยู่ในจิตของเรา (เรียกว่า “เจตสิก”) ถ้าวันไหนมีเหตุมีปัจจัยเหมาะสมมันก็จะแสดงอาการออกมาทำให้กลัว โลภ โกรธ หลง เชื่อ ลังเล ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ทำให้เราตัดสินใจซื้อหรือขาย “หุ้น” ส่วนผลที่ตามมาในการชดใช้กรรมมีได้ตั้งแต่ กำไร ขาดทุน ตกรถ ติดดอย ขายหมู รับมีด

“สติ” คือ สิ่งสำคัญที่จะมาช่วยเราแก้กรรม และทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในตลาดหุ้นได้ โดยที่คุณหมอกล่าวไว้ว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกรรมยังมีสติ” และนี่คือสิ่งทีผมได้เป็นข้อคิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ

** 20 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือกรรมของนักเล่นหุ้น **

1) “ตกรถ” เพราะเอาจิตไปยึดติดกับอดีตว่าราคาหุ้นเคยต่ำกว่านี้มาก่อน กลัวว่าเราจะซื้อที่ราคาสูงไปแล้ว แต่สิ่งที่เราควรทำคือมองไปที่อนาคตว่า หุ้นตัวนี้ยังไปต่อได้อีกมั้ย ถ้ามีแนวโน้มขึ้นต่อ “การซื้อแพงแล้วไปขายแพงกว่า” ก็จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง 

2) คนที่เก่งในการทำนายอดีต ทุ่มเงินทั้งหมดลงไปในจินตนาการ ไม่มีประโยชน์อะไรในการเล่นหุ้น เช่น เราเคยเห็นหุ้นตัวนึง 5 บาท หนึ่งปีถัดมากลายเป็น 15 บาท เราคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราซื้อหมดตัวได้กำไร 3 เท่า แต่ในความเป็นจริงถ้าเราได้ซื้อที่ 5 บาท เราก็คงจะขายไปตั้งแต่ 6-8 บาทแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

3) “การซื้อหุ้นถูกตัว ไม่สำคัญเท่ากับการซื้อหุ้นถูกจังหวะ” ช่วงเวลาทีดีที่สุดในการซื้อคือช่วงที่คนในตลาดกำลัง “เจ็บใจ” หลังจากทุกคน “ตื่นกลัว” และขายหุ้นออกไปจนหมดแล้ว และให้ไปขายในช่วงที่ทุกคน “มั่นใจ” เปรียบเหมือนกับปลาที่หาอาหารเก่งต้องว่ายทวนน้ำฉันใด คนที่เล่นหุ้นเก่งก็ต้องทวนกระแสฉันนั้น แต่ไม่ใช่ทวนแบบหน้ามืดตามัว ต้องดูจังหวะด้วย

4) “การขายหมูทำให้เสียดาย แต่การติดดอยทำให้เสียใจ” ขายหมูยังเหลือเงินสดไปไล่หมูตัวอื่น ขอแค่อย่าขายหมูไปซื้อควาย แต่ติดดอยทุกข์ทรมาน มัวแต่รอว่าสักวันจะกลับมากไร ให้พึงระลึกไว้เสอว่า “งาช้างไม่มีวันงอกออกจากปากหมา” ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นเน่าจริง ๆ ควรตัดใจขายทิ้ง แล้วออกไปตามหาช้างจะดีกว่า

5) การเล่นหุ้นคือการต่อสู้กับใจของตัวเอง ถ้าเอาชนะความอยากของตัวเองได้ โอกาสประสบความสำเร็จสูงมาก อย่าเอาอารมณ์ของตลาดมาเป็นอารมณ์ของตัวเอง จงตระหนักในวันที่ตลาดตระหนก จงตื่นตัวในวันที่ตลาดตื่นกลัว

6) ถ้าในพอร์ตมีหุ้นติดดอยอยู่มาก จะเหนี่ยวนำให้เกิดการขายหมูตัวอื่น เพราะเราจะเกิดความกลัวว่าหุ้นตัวอื่นจะตก กลายเป็นความรู้สึกเชิงลบ เข้าทำนองที่ว่า ส้มในกล่องเน่าหนึ่งลูกมันจะพาลทำให้ส้มลูกอื่นเน่าเร็วไปด้วย ดังนั้น คุณก็แค่หยิบส้มลูกที่เน่าทิ้งไป ไม่ใช่เก็บลูกเน่าแต่ทิ้งลูกที่ดี

7) รับมีด เกิดจากความโลภ เพราะเห็นราคาลง 10% แปลว่าโอกาสในการทำกำไรก็ต้องเท่ากัน โดยไม่ได้ดูสภาพแวดล้อมประกอบ ทำให้สวนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ กลายเป็นประสานงากับรถสิบล้อแทน 

8) คนที่เจ็บปวดกับการตกรถมีโอกาสที่จะรับมีดหุ้นตัวเดิมสูง เพราะคิดว่ารถถอยลงมารับ ทำให้ตัดสินใจกระโดดเข้าไปขณะที่คนอื่นกำลังก้าวลงจากรถ และความจริงก็คือรถกำลังจะลงเหว อย่าให้มีความรู้สึกว่า เสียดายหรือแค้นต้องเอาคืน เพราะเรากำลังใช้อารมณ์ทำให้ผิดพลาดได้ ทางที่ดีคือให้มองหารถคันใหม่แล้วไปรอขึ้นที่ชานชาลาดีกว่า

9) ถ้าคิดจะ “รับมีด” ให้เปลี่ยนเป็น “ลับมีด” เพื่อฟันที่ราคาต่ำ ๆ ให้ดูหุ้นสัปดาห์ละครั้งแล้วเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะซื้อไม่ทันตราบใดที่ยังเป็นขาลงอยู่

10) ความใจร้อนไม่เคยทำให้ใครประสบความสำเร็จ การตัดสินใจเร็วไป 4 ครั้ง มีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 3 ครั้ง เพราะฉะนั้น จงใจเย็นแม้จะทำให้พลาดบ้างเป็นบางครั้ง แต่ผลตอบแทนที่เหลือจะมาชดเชยสิ่งที่พลาดไปเอง

11) หุ้นมีนิสัยเหมือนมนุษย์ หุ้นขี้เกียจ ซื้อขายวันละหลักร้อยหุ้น หุ้นขี้ตกใจ เกิดข่าวร้ายนิดหน่อย ราคาตกลงมากกว่าตลาด หุ้นขี้เหนียว กำไรเยอะแต่ปันผลนิดเดียว หุ้นขี้โม้ มีสารพัดโครงการแต่ทำไม่ได้จริงซักที แต่หุ้นที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงคือ “หุ้นขี้โกง” ที่มีผู้บริหารนิสัยโจรปะปนอยู่

12) ทุกคนควรวิเคราะห์ตัวเองว่าผิดพลาดแบบไหนแล้วไปแก้ไขที่จุดนั้น คนที่ชอบขายหมู แสดงว่าดีใจมากเกินไปเวลาหุ้นขึ้น คนที่ติดดอยมีความกล้าบ้าบิ่น คนที่ตกรถเป็นคนขี้กลัว ระแวง ส่วนคนที่ชอบรับมีดมีความโลภและคิดว่าราคาที่ตกลงมาคือกำไรที่ซื้อได้ถูกลง

13) ความฝันของนักลงทุน คือ การสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต แต่ถ้าจิตยังเหมือนเดิม ถึงย้อนเวลากลับไปได้จริง การตัดสินใจก็จะไม่ต่างไปจากเดิม พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรากำหนดสติเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกที่ปัจจุบัน และอนาคตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่ต้องแก้คือจิตไม่ใช้การประดิษฐ์เครื่องย้อนเวลา

14) การยอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อตัดสินใจผิด ทำให้สามารถเรียนรู้วิธีที่จะชนะได้ ให้เราถอยออกมามองภาพใหญ่เหมือนโค้ชที่อยู่ข้างสนามจะเห็นภาพโดยรวมชัดกว่านักเตะที่อยู่ในสนาม คอยมองหาจุดอ่อนและข้อผิดพลาดของตัวเองไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่น … แน่นอนว่าความพ่ายแพ้มันเจ็บปวด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นแรงขับว่าสักวันต้องกำไร แล้วพยายามแก้ตัวใหม่ ส่วนใหญ่ถ้ายังสู้ต่อจะจบลงด้วยชัยชนะอย่างถาวร

15) คนเราทุกคนเกิดมาต้องมีความถนัดอย่างใดอย่างหนึ่งซ่อนอยู่ หาให้เจอและดึงจุดนั้นมาใช้ในการลงทุน ถ้าคุณถนัดว่ายน้ำแล้วไปวิ่งแข่งคุณก็จะแพ้ คนเราไม่ต้องเก่งหลายอย่าง ขอแค่อย่างเดียว แต่เอาให้เก่งสุด ๆ ไปเลย เหมือนที่วอร์เรน บัฟเฟต เคยบอกว่า “ในการเล่นเบสบอลไม่จำเป็นต้องตีทุกลูก แต่เวลามีลูกที่คุณถนัด ต้องตีให้แรง และให้ตรงที่สุด”

16) ตัด “ความอยาก” ออกให้หมดให้เหลือแต่ “ความเชื่อ” เหมือนนักกีฬาที่ทุกคคนต้องอยากชนะ แต่เมื่อฝึกซ้อมหนักมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเกิดความเชื่อว่าจะชนะมากขึ้นเท่านั้น เหมือนเราเล่นหุ้นซื้อปุ๊บก็อยากให้ขึ้นปั๊บ อดทนรอไม่ได้ แต่ถ้าเรามีความเชื่อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก จะทำให้อดนรอคอยความสำเร็จของหุ้นตัวนั้นได้ 

17) พลังแห่งความรู้สึกสูงกว่าพลังแห่งความคิดมากจนเทียบไม่ได้ เช่น บางคนหักห้ามความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ความคิดรู้ว่าจะทำให้เป็นมะเร็ง เพราะความรู้สีกเป็นกรรมเก่า ส่วนความคิดเป็นกรรมปัจจุบัน วิธีเดียวที่จะเอาชนะได้คือ การฝึกสติสัมปชัญญะให้มีกำลังกล้าแกร่งพอที่จะสู้กับความรู้สึกนั้นได้

18) การดูให้เห็นอาการโดยปราศจากอารมณ์ จะทำให้หยั่งรู้เห็นความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่ ดูให้เห็นว่าหุ้นขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ดีใจ ดูให้เห็นว่าหุ้นตกโดยไม่ต้องกังวล อย่าเอาใจเข้าไปรับ เป็นการเห็นแบบ “ปรมัตถ์” คือ สนใจกับอาการที่ปรากฏเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ต้องเอาจิตเข้าไปปรุงแต่งให้เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน (ตัวกูของกู) แยกสติออกไปจับอาการและทำความเข้าใจในธรรมชาติของมัน

19) ถ้ามีอารมณ์เกิดขึ้นไม่ต้องรีบไปหยุดมันทันที ให้ใช้สติเฝ้าดูเหมือนเหยียบเบรก ABS ที่ค่อย ๆ หยุดล้อให้หมุนและจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เคล็ดลับก็คือ อย่าไปอยากให้อารมณ์มันหาย เพราะถ้ายิ่งอยากมันจะไม่หาย แต่อารมณ์มันขี้อาย พอรู้ว่าเราจ้องมันอยู่ มันจะหลบไปทันที ค่อย ๆ ฝึกสติตามดูอย่างจดจ่อ โดยไม่คิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ อารมณ์นั้นจะค่อยๆ เลือนหายไปเอง

20) วันใดที่ได้กำไรและเหลือเงินเก็บในระดับที่พอใจแล้ว ให้ขายหุ้นทิ้งให้หมด คุณจะพบว่า ชีวิตที่ไม่ต้องวุ่นวายกับข่าวสารของโลก ไม่ต้องตื่นกลัวกับเรื่องร้าย ๆ ในประเทศ เป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ปราศจากกิเลศ ตัณหาที่เร่าร้อน

ผมคิดว่า 20 ข้อคิดนี้น่าจะเป็นบทเรียนสอนใจให้เราอยู่รอดปลอดภัยในตลาดหุ้นอย่างมีสติ และโดยปกติผมมักจะยึดหลัก 1 BOOK 1 LESSON ที่พี่หนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ Money Coach บอกว่า ให้นำบทเรียนที่ได้จากหนังสือ 1 เล่ม สัก 1 เรื่อง มาปฏิบัติใช้ให้ได้ผลจริงกับชีวิต แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับตัวเอง สำหรับผมอยากไปฝึกนั่งสมาธิให้ได้ทุกวันสักวันละ 10 นาทีก่อน เพื่อให้ตัวเองมีสติมากขึ้นและสามารถจับอาการหุ้นได้โดยปราศจากอารมณ์ 

ลองไปหา 1 book 1 lesson ของคุณดูนะครับ แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีประโยชน์จริงๆ 

.

#กรรมของนักเล่นหุ้น #จิตวิทยาการลงทุน #onebookonelesson #วิตามินหุ้น

  
คุณชอบอ่านหนังสือที่สนุกหรือมีประโยชน์นำไปใช้ได้จริงมากกว่ากัน?

ถ้ามีหนังสือเล่มหนึ่งที่ทั้งอ่านสนุกและมีประโยชน์นำไปใช้ได้จริงล่ะ?

(**หมายเหตุ** พิมพ์ครั้งที่ 2 เปลี่ยนชื่อเป็น “ชีวิตผมเปลี่ยนไปเมื่อได้เทพช้างเป็นกุนซือ”)

=ภาพรวม=

คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่พวกเราอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองแล้วก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง?

แน่นอนว่าแต่ละคนคงมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่จากการสังเกตของผู้วิจารณ์ก็คือ  

1) เราอ่านแล้วสักพักก็ลืม ตามกราฟแสดงการลืมของเอบบิงเฮาส์พบว่า ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น เราก็จะยิ่งลืมมากขึ้น และในเมื่อลืม ก็ไม่สามารถนำไปลงมือทำได้

2) สมองไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันจึงสร้างกลไกต่าง ๆ มาโน้มน้าวเราด้วยเหตุผลที่น่าเชื่อถือว่า ทำไปก็เท่านั้น ในที่สุดเราก็จะลงเอยด้วยการไม่ลงมือทำอะไร

ผู้เขียนหนังสือ “เทพช้างสอนคิด” นี้จึงเขียนแบบแผนซ้อนแผนที่แก้เกมจุดอ่อนของสมองเราไว้ได้อย่างเหนือชั้น

ประการแรก ผู้เขียนวางหมากแก้ลืมเอาไว้ โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าสมองจะจำข้อมูลได้ดีกว่าถ้าข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบของเรื่องราวต่าง ไม่ได้เป็นข้อมูลน่าเบื่อที่แยกเป็นข้อ ๆ    

นอกจากนั้นสมองจะจำได้ดีเวลาเราหัวเราะและอารมณ์ดี  

ดังนั้นผู้เขียนจึงผูกเรื่องราวการพัฒนาตนเองขึ้นมาเล่าเป็นนิยายที่สนุก ๆ ปนอารมณ์ขัน เป็นเรื่องของการที่เทพช้างสอนเคล็ดลับความสำเร็จให้ชายหนุ่มคนหนึ่ง

ประการที่สอง ผู้เขียนมองเห็นรูปแบบของ “ความไม่สามารถลงมือทำ” ของคนเราค่อนข้างชัดเจน จึงเขียนในรูปแบบที่ช่วยให้เราลงมือทำได้ง่ายขึ้น เช่น เริ่มทำในสิ่งเล็ก ๆ ที่สมองไม่ต่อต้านก่อน

แต่สิ่งเหล่านั้นก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมพอที่จะให้ความพึงพอใจเมื่อทำสำเร็จ ความพึงพอใจที่ว่าคือสารโดพามีนที่สมองหลั่งออกมา ซึ่งจะจูงใจให้ผู้นั้นอยากลงมือทำอีก

นอกจากนี้สมองยังชอบ “เส้นตายที่ชัดเจน” เนื้อเรื่องจึงผูกเป็นเหมือนคำสั่งหรือภารกิจง่าย ๆ ที่ต้องทำให้ได้ภายใน 1 วัน  

ซึ่งเหล่าภารกิจเล็ก ๆ ในเล่มนี้นั้นเมื่อมารวมกันแล้วก็จะกลายเป็นการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน

ผู้วิจารณ์อ่านแล้วพบว่า ถ้าเราอ่านแล้วลองทำตามคำแนะนำของ “เทพช้าง” ในแต่ละวันติดต่อกันจนครบทุกอย่างในเล่ม ชีวิตเราจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน  

จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าเรามีวินัยที่จะทำตามมากแค่ไหน

=น่าสนใจจากในเล่ม= 

* ซุซุกิ อิจิโร่ นักเบสบอลอาชีพชาวญี่ปุ่นที่ข้ามไปเป็นดาวรุ่งของเมเจอร์ลีกในสหรัฐอเมริกา จะนั่งขัดถุงมือหลังการซ้อมและการแข่งทุกครั้งในห้องล็อคเกอร์แม้เพื่อนทุกคนจะกลับบ้านไปแล้ว    

เขาทำอย่างนั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กประถม โดยให้เหตุผล่า “เราต้องทะนุถนอมเครื่องมทำมาหากินของตัวเองซึ่งถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์”

เครื่องมือในการทำมาหากินของคุณคืออะไร? จงไปใส่ใจทะนุถนอมดูแลมันอย่างดีด้วยความรู้สึกขอบคุณ

* อุปสรรคหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่ประสบความสำเร็จคือ “การไม่รับฟังผู้อื่น” เพราะมัวแต่ “ยึดติดอยู่กับกรอบความคิดของตัวเอง”

* คนที่จะได้เป็นเศรษฐี มักจะเป็นคนที่อยากทำให้คนอื่นมีความสุขจากใจจริง  

มัตสึชิตะ โคโนะสุเกะ ผู้ก่อตั้งพานาโซนิค เคยคิดไว้สมัยวัยเยาว์ว่า “จะกำจัดความยากจนให้หมดสิ้นไปจากสังคม” แล้วก็ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกที่ใคร ๆ ก็ซื้อหามาใช้ได้ขึ้นมา

* เฮนรี่ ฟอร์ด บิดาแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ เคยกล่าวว่า “ถ้าผมถามลูกค้าว่าอยากได้อะไร พวกเขาคงตอบว่า อยากได้ม้าที่วิ่งเร็วขึ้น”

สิ่งที่ฟอร์ดต้องการสื่อก็คือ ในการเติมเต็มความต้องการของคนอื่น เราต้องไม่คอยไปถามว่า “คุณอยากได้อะไร” เพียงอย่างเดียว เพราะเขาเองอาจตอบไม่ได้ แต่เราต้องเป็นฝ่ายคิดเองแล้วนำเสนอสิ่งนั้นให้เขา

(สตีฟ จ็อบส์ ก็คิดอย่างนั้นตอนพัฒนา iphone ขึ้นมา — ผู้วิจารณ์)

* ดังนั้น หนึ่งในภารกิจที่เราต้องทำคือ หมั่นรู้ทันความต้องการของคนอื่น

* คนที่ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากมีอารมณ์ขันกันทั้งสิ้น เช่น ไอน์สไตน์ เป็นต้น

* เวลาว่างหลังเลิกงานคือ “ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด” เราจะประสบความสำเร็จในอนาคตหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เวลาเหล่านั้นไปทำอะไร ควรใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุด

* การที่จะมีเวลาทำอะไรที่ดีต่อชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองได้นั้นต้องมีเวลา คนเรามีเวลาจำกัด  

ดังนั้น ให้ลองคิดดูว่าเราสามารถ “เลิก” ทำอะไรได้บ้าง 1 อย่างในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้มีเวลามากขึ้น เช่น เลิกดูโทรทัศน์ เลิกเล่นคอมพิวเตอร์หรือมือถือเรื่อยเปื่อย เป็นต้น

* การที่จะพัฒนาตนเองให้ได้ต่อเนื่องไปนาน ๆ ต้องทำด้วยความรู้สึกสนุก 

วิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือ ก่อนนอนให้นึกถึงเรื่องที่ตนเองมุ่งมั่นตั้งใจทำในวันนั้น แล้วชมตัวเองว่า “ทำได้ดีมาก” (สมองชอบให้ชม – ผู้วิจารณ์) อย่าเอาแต่นึกถึงเรื่องที่ทำได้ไม่ดีแล้วคอยแต่ตำหนิตนเอง

* การทำอะไรสบาย ๆ มักไม่ค่อยให้ผลดีอะไรกับตัวเรานัก 

เช่น ถ้าอยากเพิ่มกล้ามเนื้อ เราก็ต้องบริการกล้ามเนื้อจนเต็มกำลังก่อน ดังนั้นถ้ายังอยากดูโทรทัศน์ ก็ต้องฝึกคิดวิเคราะห์ตามด้วยเหตุผลไปด้วย ก็จะสามารถเรียนรู้ได้เหมือนกัน  

* การจะเปลี่ยนแปลงตนเอง อย่าพยายามเปลี่ยนเพียง “ความคิด” แต่ต้องเปลี่ยน “บางอย่างที่เป็นรูปธรรม” ด้วย

เช่น ถ้าจะเลิกดูโทรทัศน์ ก็ให้กำจัดโทรทัศน์ไปเลย เรียกว่าเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างต่อเนื่อง (เช่น เอาเวลาที่จะดูโทรทัศน์ไปอ่านหนังสือแทน)

* เสื้อผ้าก็ถือเป็นสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้

นโปเลียน โบนาปาร์ต เคยพูดไว้ว่า “คนเราเปลี่ยนแปลงบุคลิกไปตามเสื้อผ้าที่สวมใส่”  

เสื้อผ้าส่งผลต่อจิตใจคนใส่ ถ้าเราสวมเสื้อผ้าที่ทำให้เรามั่นใจในตนเอง การกระทำและคำพูดของเราก็จะเปลี่ยนไป

* ถึงจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเรา แต่เราก็ต้องพยายามคิดว่า “โชคดี” เอาไว้ก่อน แม้เราจะไม่ได้คิดอย่างนั้นจริง ๆ ก็ตาม ถ้าพูดออกมาได้เลยยิ่งดี

เพราะเมื่อทำอย่างนั้น สมองจะเริ่มค้นหาความโชคดีเอง มันจะพยายามเรียนรู้บางอย่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

* คนส่วนใหญ่มักชื่นชมผลสำเร็จ แต่แทบไม่มีใครสนใจกระบวนการสร้างความสำเร็จนั้นเลย  

การที่ซุนวูเคยบอกว่า “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” แท้ที่จริงก็หมายถึงการต้องเตรียมการล่วงหน้าไว้ให้พร้อมนั่นเอง เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดผลแพ้ชนะ

ดังนั้น จึงต้องเตรียมตัวสำหรับการทำงานในวันถัดไปทุกวัน

* คนเรามักอยากอยู่ใกล้คนที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้น คนที่สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองได้ก็จะได้รับแรงใจและการสนับสนุนจากผู้อื่นอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงประสบความสำเร็จ

* แอนดรูว์ คาร์เนกี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอุตสาหกรรมเหล็กกล้า ที่จริงไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องเหล็กกล้า แต่เขารู้วิธีที่จะทำให้คนอื่นภาคภูมิใจในตนเอง  

เช่น เวลาที่เขาควบรวมบริษัทอื่นในวงการเดียวกันเพื่อขยายบริษัทตนให้ใหญ่ขึ้น เขาจะไม่เปลี่ยนชื่อบริษัทที่ควบรวม เพราะมันจะทำให้พนักงานในบริษัทเหล่านั้นตั้งอกตั้งใจทำงานมากขึ้น

* การชมข้อดีของคนอื่นอย่างจริงใจเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คนอื่นภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นภารกิจหนึ่งคือ “ต้องหมั่นมองหาข้อดีของคนอื่นแล้วเอ่ยชม”

* “การบริการ” ก็คือการทำให้คนอื่นรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เขามีความสุขและรู้สึกดี ถ้าเราไม่คอยใส่ใจเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา เราก็จะไม่สามารถให้บริการเขาได้ 

(การใส่ใจเฝ้าสังเกต ก็คือการมีสติที่ละเอียดรอบคอบนั่นเอง – ผู้วิจารณ์)

* การ “เลียนแบบข้อดีของคนอื่น” ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ สตีฟ จ็อบส์ เอง ก็เคยถูกคนรอบข้างกล่าวถึงว่าเป็น “อัจฉริยะในการขโมยไอเดียคนอื่น” เช่นกัน

* เด็กประถมเวลาเล่นกันอย่างอิสระจะมีใจที่จดจ่ออยู่กับการเล่นอย่างเพลิดเพลิน  

คนที่สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้มักจะเป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาทำงานด้วยความรู้สึกสนุกสนานเหมือนเด็กประถม จึงสามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานได้

ดังนั้น เราจึงต้องค้นหางานที่เราสามารถทำได้ด้วยความรู้สึกสนุกจากใจจริง เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยความสามารถของตัวเองออกมาได้เต็มที่

แต่เราก็จะไม่มีวันค้นพบงานนั้นเจอได้เลยถ้าเราไม่ลองลงมือทำจริงไปหลาย ๆ อย่าง ดังนั้นจึงต้องหมั่นค้นหาและทดลองทำไปให้รอบด้านจนกว่าจะพบสิ่งที่เราสนุกกับมันจริง ๆ

* อัลเบิร์ต เซนต์ –จอร์จี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบวิตามินซี เคยกล่าวว่า “การค้นพบคือการมองสิ่งเดียวกับคนอื่น แต่คิดในสิ่งที่ต่างจากคนอื่น”

* ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลาไปกินข้าวนอกบ้านคือช่วงเวลาพักผ่อน แต่ถ้าเราคิดแบบคนอื่นเราก็จะสร้างผลงานได้แค่ระดับคนทั่วไป  

คนที่จะประสบความสำเร็จจะมองไปรอบ ๆ และวิเคราะห์ไปด้วยว่ามีร้านนี้ทำอย่างไรบ้างถึงประสบความสำเร็จ

* เวลาไปศาลเจ้าหรือไปไหว้หลุมฝังศพบรรพบุรุษ ลองเปลี่ยนจากการ “ขอพรให้เราได้นู่นนี่สมหวัง” เป็นการ “ขอบคุณที่ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดีเสมอมาครับ” แทน  

คนที่รู้สึกขอบคุณต่อทุกสิ่งและทุกคนเสมอ จะได้รับการสนับสนุนเสมอ

* การสร้าง “เซอร์ไพรส์” หรือ การมอบสิ่งที่ “อยู่เหนือความคาดหมาย” ให้กับลูกค้า คือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด และจะกลับมาอุดหนุนซ้ำอีก

วิธีฝึกง่าย ๆ คือภารกิจ “สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการให้ของขวัญแม้จะเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ” อย่างเช่นเวลามีคนไอก็เอายาอมแก้ไอไปยื่นให้

* การหาความรู้ใส่ตัวอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนเปลี่ยนแปลงได้ คนเราจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อลุกขึ้นและลงมือทำอะไรสักอย่างเท่านั้น

* แรงจูงใจมีที่มาหลายอย่าง เช่น ความใฝ่ฝันอยากใช้ชีวิตแบบนี้แบบนั้น หรือ การอยากเป็นที่ยอมรับของคนนี้คนนั้น 

แต่แรงจูงใจที่ได้ผลมากที่สุดคือ ให้นึกถึง “สิ่งที่วันหนึ่งข้างหน้าจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำ”

* หัดเล่าความฝันของเราให้คนอื่นฟัง แต่ต้องเป็นความฝันที่จะช่วยให้เขามีความสุขได้ด้วย

* จงช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จ

* หัดทำสิ่งที่ท้าทายความสามารถของตนเอง ถ้าให้ถึงขั้นใจเต้นตึ้กตั้กได้ยิ่งดี เพราะมันจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “ปาฏิหาริย์”

* ยิ่งเรามี “ความอยาก” เพราะคิดว่าเรา “ขาด” อะไรมาก ๆ สิ่งนั้นก็จะยิ่งหนีห่างจากเราไป  

แต่ให้คิด “ขอบคุณ” ทุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิตรอบตัวให้ได้เสมอ ๆ ทุกวันแทน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก พ่อแม่ คนที่เจอในแต่ละวัน สัตว์ อากาศ น้ำ หรือต้นไม้ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้

* ความสำเร็จไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ทั้งความสุขความทุกข์ของชีวิตเกิดขึ้นเพื่อให้เราได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้จากมัน คนที่เรียนรู้จากทุกสิ่งได้คือคนที่จะสนุกกับโลกใบนี้ได้ตามใจปรารถนา

==ข้อคิดที่ได้จากหนังสือเล่มนี้==

* เทพช้างแนะนำเคล็ดลับพัฒนาตนเองไว้ 29 วิธีในรูปแบบของ 29 “ภารกิจ” และแถมด้วย “ภารกิจสุดท้าย” ก่อนเทพช้างจะจากไปอีก 5 ข้อ  

หลายข้อคุณจะรู้สึกว่า “ทำไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา” หรือ “ไม่เห็นมีความเป็นวิทยาศาสตร์เลย”

แต่การสามารถเอาชนะใจตนเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำ และมีวินัยทำอย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นกุญแจสำคัญของผู้ประสบความสำเร็จทุกคน

หนังสือชื่อ “เทพช้างสอนคิด” โดย มิซุโนะ เคยะ แปลโดย อภิญญา เตชะบุญไพศาล สำนักพิมพ์วีเลิร์น 341 หน้า ราคา 250 บาท มีจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำและเวบไซต์ร้านหนังสือทั่วไป 

———————————-

อย่ามัวแต่ลับมีด ในวันที่คนอื่นใช้ปืน

อย่ามัวแต่ลับมีด ในวันที่คนอื่นใช้ปืน
หนังสือสบาย สไตล์การเขียนชัดเจนของคุณพีท เจ้าของ Pete’s Philosophy 

เล่มนี้ผู้เขียนมาเตือนเราทุกคนว่า อย่ามัวยึดติดกับกรอบการใช้ชีวิตหรือความสำเร็จเดิมๆ เพราะโลกหมุนไปทุกวัน สิ่งที่เคยใช้ได้ดีเมื่อวานมันอาจใช้ไม่ได้ผลแล้วในวันนี้ เราจึงต้องหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเสมอ 

อย่ามัวแต่ลึบมีด ในวันที่คนอื่นใช้ปืน

แปลว่า อย่ามัวแต่ยึดมั่นกับทักษะเดิมๆโดยไม่เหลือบตาดูโลก เพราะทักษะนั้นอาจไม่มีใครต้องการแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจจากในเล่ม

– การพูดว่า ทำไม่ได้ มันไม่ได้เสียหายอะไรถ้าสิ่งที่เรายืนยันว่าทำไม่ได้นั้นมันผิดกฏหรือไม่ถูกต้อง

– การฝึก Elevator Pitch บ่อยๆจะช่วยให้เราชัดเจนกับเป้าหมายของเรา

– วางแผนงานอาจมีใครมาช่วยคิด แต่วางแผนชีวิต เราต้องทำด้วยตัวเอง

– การทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ ให้อะไรมากกว่าที่เราคิด

– คนที่อยากประสบสำเร็จต้องเห็นกว้าง รู้ให้เยอะ อย่าเก็บตัว ซึ่งโอกาสในการเรียนรู้แบบนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สนใจ

– การคิดต่างจากหัวหน้า เป็นอีกวิธีสู่ความก้าวหน้าในงาน แต่เราต้องรู้จักเลือกเวลาที่จะแสดงความเห็นต่างในถูกกาละเทศะ เช่นไม่แสดงความเห็นต่างกลางที่ประชุมกับคนนอกบริษัท

– ก่อนกดปุ่ม send ส่งอีเมล์ออกไป คิดให้ดีทุกครั้ง อย่าส่งออกดวยอารมณ์

– หัดเป็นคน ฟัง เพื่อ ฟัง ฟังจนขนาดที่ผู้พูดรู้สึกว่ามีเราเพียงคนเดียวตรงนั้น แล้วจะได้หลายอย่างกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ

– การตั้งคำถาม .อย่าถามว่า.ทำไมงานถึงไม่เสร็จ แต่ให้ถามว่า ต้องทำอย่างไรงานถึงจะเสร็จ

– การกล้ายอมรับว่าไม่รู้ จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ

– อย่าฝากอนาคตความก้าวหน้าของงานไว้กับเจ้านาย แต่ให้กำหนดมันด้วยตัวเองและวางบทให้นายเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น

– ชีวิตมันโอเคที่จะเจอเรื่องลบๆบ้าง แต่รวมๆแล้วมันจะบวกมากกว่าลบแน่นอน อย่าคิดมาก

– การเลือกเส้นทางเดินโดยไม่คิดถึงจุดจบที่ปลายทางว่าจะเป็นอย่างไร นั่นคือพลาดตั้งแต่เลือกแล้ว

– เป้าหมายไม่เคยเดินมาหาเรา การยืนนิ่งๆสองเท้าอาจทำให้มั่นคง แต่มันไม่ได้พาเราเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเลย ดังนั้น จงออกเดิน

– ความสามารถในการมองหาสิ่งดีๆท่ามกลางสิ่งร้ายได้ คือคุณสมบัติเด่นที่พบในทุกคนที่ประสบความสำเร็จ

– พยายามอยู่ท่ามกลางคนบวกและคุยเรื่องบวก

– การคิดบวกด้านเดียวอาจออกผลเป็นทั้งบวกและลบ แต่การคิดทั้งบวกและลบ ผลที่ออกมาจะบวกเสมอ

หนังสือให้แง่คิดดีๆเยอะ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากอ่านหนังสือที่เนื้อหาไม่หนักมากและแต่ละบทไม่ยาวเกินไป ทำให้ทยอยอ่านและฝึกตัวเองไปด้วยทีละนิด

ข้อคิดดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต

ภรรยาประธานาธิบดีสีจิ้นผิง (เผิงลี่หยวน) ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องคะแนนสอบเอ็นทรานซ์ ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการศึกษาของประเทศจีน 
คะแนนสอบของลูก ไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการสอนให้ลูกรู้จักสำนึกในบุญคุณ รู้จักเรียนรู้การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ลูกจะมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง ผู้ปกครองจะมีวิธีอบรมปลูกฝังอย่างไร การที่จะให้ทรัพย์สินแก่ลูกหลาน ทำไมไม่คิดจะสร้างลูกให้กลายเป็นทรัพย์สินล้ำค่าเล่า นั่นคือการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม

ดังนั้นการเก็บสะสมทรัพย์สินมหาศาลให้กับลูกหลานไม่สามารถเทียบเท่ากับการให้ข้อคิดดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตดังต่อไปนี้

1. ลูกรัก…ลูกต้องเรียนรู้ที่จะทำอาหาร นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการดูแลปรนนิบัติคนอื่น แต่เมื่อคราที่คนที่รักลูกไม่ได้อยู่ข้างกายลูก ลูกก็จะสามารถดูแลตนเองได้ (อยู่รอดได้ด้วยตนเอง)

2. ลูกรัก…ลูกจะต้องเรียนรู้ที่จะขับรถ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะตำแหน่งหน้าที่ เพราะเช่นนี้แล้ว ลูกก็จะสามารถไปในทุกๆ ที่ลูกอยากไปทุกเวลา ไม่ต้องไปขอร้องใคร (มีอิสระเสรี)

3. ลูกรัก…ลูกจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้มาตรฐาน นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการรับรองฐานะการศึกษา ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ในมหาวิทยาลัยสัก 3-4 ปี ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไข และเป็นชีวิตที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้มีสติปัญญา ความนึกคิดและการใช้เหตุผล (เมื่อเข้าไปสู่สังคมก็เสมือนเข้าไปสู่ชีวิตจริง)

4. ลูกรัก…ลูกรู้หรือไม่ ฝากรอยเท้าไกลเท่าไหน จิตใจจะกว้างเท่านั้น เมื่อใจกว้างแล้ว ลูกจึงจะมีความสุข หากเดินไปได้ไม่ไกล ให้หนังสือช่วยพาลูกเดินไป (เปิดกว้างโลกทัศน์ของตนเองโดยอาศัยโลกแห่งความรู้)

5. ลูกรัก…หากโลกนี้เหลือเพียงน้ำสองถ้วย ให้เก็บถ้วยหนึ่งเอาไว้ดื่ม ส่วนอีกถ้วยหนึ่งใช้ทำความสะอาดใบหน้าและชุดชั้นในของลูก (การเห็นคุณค่าของตัวเองไม่เกี่ยวกับความจนความรวย)

6. ลูกรัก…หากฟ้าถล่มทลายลงมา ก็ไม่ต้องร้องไห้ และไม่ต้องบ่นว่าอะไร เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้คนที่รักลูกยิ่งเจ็บปวดใจ ส่วนคนที่เกลียดลูกจะยิ่งได้ใจ (ยอมรับชะตากรรมอย่างสงบ คนที่เรารักจะมีความสุข)

7. ลูกรัก…ต่อให้ต้องกินข้าวคลุกซีอิ๊วขาว ก็ต้องปูผ้าปูโต๊ะที่สะอาด และนั่งลงไปอย่างสง่างาม ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างใส่ใจในคุณภาพ (มารยาทและสถานการณ์ไม่เกี่ยวข้องกัน)

8. ลูกรัก…เมื่อไปยังสถานที่ไกลๆ จำไว้ว่านอกจากจะต้องนำกล้องถ่ายรูปไปแล้ว ก็ต้องนำปากกาและกระดาษไปด้วย วิวทิวทัศน์นั้นเหมือนกัน แต่อารมณ์ที่ดูวิวทิวทัศน์นั้นไม่สามารถกลับมาซ้ำเหมือนเดิมได้อีก สวี่เสียเค่อ (xu xia ke) นักภูมิศาสตร์ นักเดินทางชาวจีนที่เป็นสวี่เสียเค่อในวันนี้,มิใช่เพราะเดินทางมากที่สุด เขายิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเพราะการบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วนที่ได้จากการเดินทางที่ทิ้งไว้ให้กับชนรุ่นหลัง

9. ลูกรัก…ลูกจะต้องมีพื้นที่เป็นของตนเอง ต่อให้มีแค่ 5 ตารางเมตรก็ตาม เพราะตอนที่ลูกทะเลาะกับคนรักและฉุนโกรธเดินออกมา ก็ไม่ถึงกลับร่อนเร่ไปตามถนน พบเจอกับคนไม่ดี สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือเมื่อตอนที่ลูกใจร้อน ก็จะมีสถานที่ที่ทำให้ลูกใจเย็นลงได้ ให้หัวใจของลูกได้พักไว้ในมุมนั้น (อุปนิสัยแบบอิสระ)

10. ลูกรัก…เมื่อตอนยังเด็กจะต้องมีความรู้ เมื่อโตขึ้นจะต้องมีประสบการณ์ ลูกจึงจะมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าอย่างมีคุณภาพ (อ่านประสบการณ์ของผู้อื่น และหาประสบการณ์ให้กับตนเอง)

11. ลูกรัก…ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ก็จงเป็นคนดีมีเมตตา โปรดจำไว้ว่า การมีจิตใจดี ก็จะทำให้ลูกเป็นผู้ที่ได้รับความคุ้มครองดูแลอย่างดีที่สุดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย (การคุ้มครองดูแลนี้ไม่ใช่ความร่ำรวยและอำนาจ ทำดีย่อมได้ดีตอบแทน)

12. ลูกรัก…รอยยิ้ม ความสง่างาม ความมั่นใจ นั้นเป็นทรัพย์สินทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากมีสิ่งเหล่านี้ ลูกจะมีทุกสิ่งทุกอย่าง (นี่ก็คือจิตวิญญาณของ “ผู้ดี”)

Cr : ผู้แปล แอม (สุวิไล) @ เจนบรรเจิด

7 หลักคิดของเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในนครบาบิโลน

7 หลักคิดของเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในนครบาบิโลน.

หลักคิดที่ 1 จงเริ่มทำให้ถุงเงินของท่านเพิ่มพูน

.

ทุกครั้งที่หาเงินได้ จงแบ่งเก็บออมไว้ 1 ส่วนใน 10 ส่วน (10% ของรายได้ทั้งหมด) จงจ่ายให้ตัวเองเสียก่อน ถุงเงินของท่านก็จะเริ่มมากขึ้น ๆ ซึ่งจะทำให้ท่านรู้สึกดี และสร้างความพึงใจแก่ท่าน

.

หลักคิดที่ 2 จงควบคุมการใช้จ่ายของท่าน

.

จงควบคุมค่าใช้จ่าย จดบันทึกสิ่งที่จะใช้จ่าย แล้วเลือกแต่สิ่งที่จำเป็นจริง ๆ ดังนั้น อย่าสับสนระหว่างค่าใช้จ่ายที่จำเป็น กับความปรารถนา จงแยกมันให้ออก เงินของท่านจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

.

หลักคิดที่ 3 จงทำให้เงินของท่านทวีคูณขึ้น

.

เมื่อท่านฝึกที่จะเก็บเงิน และรู้จักควบคุมการใช้จ่าย ต่อมาก็จงให้เงินทำงานให้เรา จงนำไปลงทุนกับผู้ที่รู้และเชี่ยวชาญจริง ที่จะทำให้เงินเรานั้นเพิ่มพูน เป็นกระแสความมั่งคั่ง ไหลมาสู่กระเป๋าเราอย่างไม่ขาดสาย

.

หลักคิดที่ 4 จงปกป้องทรัพย์สมบัติของท่านจากการสูญเสีย

.

การที่จะทำให้เงินทำงานให้ท่านนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยของเงินทุน ดังนั้น ก่อนจะยอมลงทุนท่านต้องศึกษาหลักประกันให้รอบคอบว่า เงินทุนของท่านจะได้คืนมาอย่างปลอดภัย และอย่าหลงผิดไปกับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะพบความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว

.

หลักคิดที่ 5 จงทำให้เคหสถานของท่านเป็นการลงทุนที่มีผลกำไร

.

แทนที่คุณต้องจ่ายเงินค่าเช่าบ้านคนอื่น เศรษฐี Babylon แนะนำว่า “จงเป็นเจ้าของบ้านของท่านเอง” คุณควรมีร่มไม้ชายคาให้แก่ตัวเอง และครอบครัว สร้างความมั่นคง บ้านเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง จงซื้อบ้าน โดยที่คุณต้องสามารถจ่ายได้สบายๆ หรือผ่อนได้อย่างสบายๆ ไม่เดือดร้อน

.

หลักคิดที่ 6 จงประกันรายได้สำหรับอนาคต

.

จงวางแผนการลงทุนหรือจัดหาเงินไว้ให้พออยู่อย่างปลอดภัยเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในวัยชรา และเพื่อปกป้องครอบครัวของท่าน ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

.

หลักคิดที่ 7 จงเพิ่มพูนความสามารถในการหาเงิน

.

จงเป็นผู้ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการหาเงินเพิ่มขึ้น โดยความเฉพาะการหาใฝ่หาความรู้ เมื่อเรียนรู้มากขึ้น ความสามารถก็จะเพิ่มขึ้น ท่านก็จะยิ่งหาเงินได้มากขึ้น คนที่พยายามเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ย่อมได้รางวัลตอบแทนอย่างงาม

.

สรุปข้อมูลจากหนังสือ The Richest Man In Babylon (เศรษฐีชี้ทางรวย) – George S. Clason

สรุปหนังสือ WHY MOATS MATTER

ShineStock☀ สรุปหนังสือ WHY MOATS MATTER 

หรือป้อมปราการทางธุรกิจที่ วอเรน บัฟเฟต นักลงทุนระดับโลก ใช้ประกอบในการคัดเลือกหุ้นสำหรับลงทุนครับ
โดยหลักแล้วจะมีป้อมปราการอยู่ 5 ประเภท ได้แก่

1. สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (intangible asset)

– แบรนด์

– สิทธิบัตร / ลิขสิทธิ

– สัมปทาน / ใบอนุญาต จากภาครัฐ
2. ความได้เปรียบด้านต้นทุน (cost advantage)

– การประหยัดต่อขนาด (ผลิตเยอะต้นทุนเฉลี่ยต่ำ)

– ความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ ใกล้แหล่งวัตถุดิบ หรือที่ตั้งจำกัดทำให้คู่แข่งใหม่เข้ามาได้ยาก

– ประสิทธิภาพการผลิตหรือการบูรณาการสายการผลิตร่วมกัน
3. ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย (switching cost)

– ความคุ้มค่าเทียบกับความเสี่ยงของการเปลี่ยนไปใช้สินค้า/บริการของบริษัทอื่น

– วงจรของผลิตภัณฑ์ หรือวงจรของเทคโนโลยีที่มีผลต่อ switching cost ที่ต่ำลงและเสี่ยงน้อยลงในอนาคต
4. พลังของเครือข่าย (Network effect)

– การเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการลงไปในเครือข่าย เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งผู้ขายและผู้ใช้งาน

– การเพิ่มปริมานและรักษาเครือข่ายให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

– ความกว้างและขนาดของเครือข่าย ช่วยส่งเสริมให้เกิด Moats ด้านอื่นๆให้แข็งแกร่งขึ้น เช่น brand / cost advantage / switching cost เป็นต้น
5. ขนาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient scale) หรืออาจเรียกว่า ขนาดที่มีอยู่จำกัด น่าจะเข้าใจง่ายกว่า

– ตลาดที่เล็ก มีขนาดจำเพาะ ทำให้ไม่มีคนสนใจ

– มีบริษัทคู่แข่งน้อยในตลาด ทำให้ตั้งราคาและรักษาอัตรากำไรที่สูงได้
=================================================
โดยในหนังสือได้ยกตัวอย่างธุรกิจหลายประเภทไล่เรียงกันตั้งแต่ธุรกิจที่มี Moats ที่แข็งแกร่ง ไปจนถึงธุรกิจบางประเภทที่ไม่มี Moat อยู่เลย 
ซึ่งผมขอสรุปแบ่งตามหมวดอุตสาหกรรม ดังนี้

☀1) Basic Materials

โดยปกติแล้วกลุ่มนี้เกือบทั้งกลุ่มเป็นบริษัทที่ไม่มีอำนาจในการกำหนดราคามากนัก เพราะราคาขายมักขึ้นกับ demand-supply ในตลาด จึงมี Moats ที่อ่อนแอ
1.1 บริษัทผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น อลูมิเนียม กระดาษ เหล็ก

– ต้นทุนการผลิตและกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้บริษัทนั่นมี Moats ในระดับนึงแต่ไมถึงกับแข็งแกร่ง

– มีคู่แข่งทั่วโลก สินค้าสามารถทดแทนได้ง่าย
1.2 บริษัทแปรรูปสินค้าโภคภัณฑ์

– บางบริษัทมี Moat จากต้นทุนการแปรรูปที่ต่ำหรือมีเทคนิคการแปรรูปที่เลียนแบบได้ยาก

– สถานที่ตั้งใกล้แหล่งวัตถุดิบ ช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีกว่าคู่แข่ง แต่ต้องไม่ลืมดูว่าแหล่งวัตถุดิบนั้นๆมีอายุจำกัดหรือไม่

– การลงทุนที่สูงและใช้เวลานานอาจเป็นตัวช่วยกีดกันคู่แข่งในบางกรณี
1.3 โลหะและเหมืองแร่

– ต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทอยู่รอดได้ในภาวะราคาสินค้าตกต่ำจนคู่แข่งค่อยๆหายไป

– มีสัมปทานภาครัฐช่วยกีดกัน (ในบางประเทศ) แต่ต้องแน่ใจว่าไม่ได้จ่ายเงินลงทุนแพงเกินไปจนทำให้ยิ่งขุดยิ่งขาดทุน

– กฎเหล็ก 3 ข้อของธุรกิจเหมืองแร่ 1.ยิ่งใหญ่ยิ่งดี(ช่วยให้เก็บเกี่ยวได้นานและลงทุนทีเดียวอยู่) 2.คุณภาพของแร่ยิ่งดีกำไรยิ่งสูง(ความหนาแน่นของแร่ต่อดินที่ขุดออกมา 1 ตันยิ่งสูงยิ่งดี) 3.การแปรูปต้องไม่ซับซ้อน(ไม่ทำให้ต้นทุนสูงเกินไป)
☀2) Consumer

แบรนด์ถือเป็น Moats หลักของธุรกิจประเภทนี้ รองลงมาคือเครือข่ายการจัดจำหน่าย แต่ธุรกิจประเภทนี้มี Switching Cost ต่ำหรือแทบไม่มีเลย หากเราเบื่อก็ย้ายไปกินอีกยี่ห้อไม่ยากนัก

2.1 เครื่องดื่ม

– ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ไม่มีใครเปลี่ยนไปกินเบียร์ ไวน์ หรือน้ำอัดลมที่ไม่มีแบรนด์แม้จะขายราคาถูกกว่าโค้กหรือเป๊ปซี่ก็ตาม

– เครือข่ายการกระจายสินค้าเป็นอีก Moat หลักๆที่ช่วยให้บริษัทที่เป็นเจ้าตลาดเดิม แข็งแกร่ง เพราะผู้เล่นหน้าใหม่อาจต้องมาขอใช้เครือข่ายกระจายสินค้าจากเจ้าเดิม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าของตนเองได้อย่างทั่วถึง
2.2 สินค้าอุปโภค

– แบรนด์ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น

– ปริมาณการผลิตที่สูงจนเกิด Economic of scale ทำให้ต้นทุนดีกว่าคู่แข่ง

– การเป็นเจ้าของแบรนด์ที่หลากหลาย และมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้บริษัทมี Moats ที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต
2.3 บุหรี่

– การมีแบรนด์แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคทั้งหน้าใหม่และเก่า

– บริษัทต้องมีอำนาจในการตั้งราคาขายได้ แม้ว่าปริมาณผู้สูบบุหรี่จะลดลง

– ให้ระวังสินค้าทดแทน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หรือกัญชา ที่อาจกินส่วนแบ่งตลาดของผู้สูบ

– กฎระเบียบของแต่ละประเทศก็เป็นตัวที่ช่วยส่งเสริมหรือทำลาย Moat ทางธุรกิจนี้ได้
2.4 ร้านอาหาร

– การแข่งขันของธุรกิจประเภทนี้ดุเดือด ไม่มีป้อมปราการกีดกันผู้เล่นหน้าใหม่ ไม่มี switching cost และมีสินค้าทดแทนอยู่เต็มไปหมด

– มีหลายๆแบรนด์ที่สร้าง Moats ขึ้นมาได้ เช่น McDonald หรือ Starbuck

– แบรนด์ที่แข็งแกร่งทำให้สามารถตั้งราคาขายสูงกว่าได้ เนื่องจากเป็นที่รู้จักทั่วโลก

– พลังของเครือข่ายที่ช่วยให้มีอำนาจต่อรองกับ supplier ทำให้ประหยัดต้นทุนกว่าผู้เล่นรายอื่นๆ
2.5 ร้านค้าปลีก

– ความได้เปรียบด้านต้นทุนในการต่อรองกับ supplier จากการสั่งซื้อปริมาณมากๆ และเครือข่ายการขนส่งสินค้าที่ก็มีส่วนช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนกว่าคู่แข่ง

– จำนวนสาขาที่ครอบคลุม ทำให้ได้เปรียบในการเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่า แต่ก็เป็นข้อเสียหากยอดขายต่อสาขาไม่คุ้มกับเงินลงทุน

– ความเสี่ยงของคู่แข่งหน้าใหม่ และการแย่งตลาดจากเทคโนโลยี Online Shopping ต้องสำรวจว่าบริษัทมี platform สำหรับต่อกรกับคู่แข่งแล้วหรือไม่
☀3) Energy

เป็นอีกกลุ่มที่ไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าได้และมีวัฎจักรของราคาสินค้า บริษัทส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมไม่มี Moats แต่ก็มีบางส่วนที่สร้าง Moats ไว้ได้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นความได้เปรียบด้านต้นทุน เช่น เดียวกับกลุ่ม Material

3.1 บริษัทขุดเจาะ

– บริษัทที่มี Moats อยู่นั้นจะอาศัยชื่อเสียง ความชำนาญ และความเชื่อมั่นจากลูกค้าเป็นหลัก

– ขนาดของสินทรัพย์ เทคโนโลยี และอุปกรณ์ที่พิเศษกว่าคู่แข่ง อาจช่วยให้บริษัทมีต้นทุนต่ำกว่าและเรียกราคาการขุดได้สูงกว่า เช่น การขุดแบบเฉพาะทาง ลึกเกินกว่า 10000 ฟุต ที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ และวิศวกรที่มีความชำนาญซึ่งมีเพียงไม่กี่บริษัทที่ให้บริการได้
3.2 บริษัทสำรวจและผลิต

– ความได้เปรียบด้านต้นทุนเป็น Moats หลักของกิจการ

– สิ่งที่ต้องคำนึงสำหรับธุรกิจคือ ขนาดของแหล่งสำรวจ ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย(รวมทุกคชจ. ค่าเสื่อม ค่าภาคหลวง ค่าจ้างพนักงาน ค่าขุดเจาะ) และราคาที่ขายได้จริง

– ต้องดูแหล่งพลังงานสำรองของบริษัทเหลือกี่ปี และบริษัทสามารถหาแหล่งใหม่มาชดเชยได้หรือไม่
3.3 บริษัท Mid Stream / โรงกลั่น

– ความได้เปรียบด้านต้นทุนจากทำเลหรือภูมิศาสตร์ เช่น อยู่ใกลแหล่งวัตถุดิบ

– การบูรณาการด้าน Supply Chain เช่น บริษัทที่สร้าง plant ติดกันเป็น Complex ทำให้สามารถใช้พลังงานส่วนเหลือและสร้างสินค้าปิโตรเคมี หรือใช้ผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

– การลงทุนต้องใช้เงินปริมาณมาณสูง และใช้เวลานาน อาจตัดคู่แข่งออกไปได้ในระยะเวลานึง
☀4) Financial Service

เป็นอุตสาหกรรมที่สินค้าไม่แตกต่างกัน มีกฎระเบียบควบคุมจากภาครัฐและเกิดการแข่งขันกันในอุตสาหกรรมสูง

4.1 ธนาคาร

– ต้องความได้เปรียบด้านต้นทุน ซึ่งเกิดจากการหา source of fund ที่ต่ำ การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์เครดิตเพื่อปล่อยกู้ได้มีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่ง

– แม้ต้นทุนการเปลี่ยนย้ายต่ำ แต่หากลูกค้าผูกบริการหลายรูปแบบไว้กับธนาคาร ก็อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับลูกค้าที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการที่อื่น

– บางบริษัทมีรายได้จากส่วนงานอื่นที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เช่น ค่าธรรมเนียมต่างๆ หากภาครัฐเริ่มควบคุมอาจกระทบต่อบริษัทได้มาก

– บางตลาดมีความได้เปรียบจากกฎหมายของประเทศนั้นๆที่ห้ามตั้งสถาบันการเงินเพิ่มเติม
4.2 บัตรเครดิต

– พลังของเครือข่ายเป็น Moats ที่สำคัญ เนื่องจากร้านค้าที่รับบัตรและให้สิทธิพิเศษก็จะมีลูกค้ามากขึ้น ในขณะเดียวกันฝั่งลูกค้าเมื่อเห็นว่าสมัครบัตรนี้ แล้วเอาไปใช้ซื้อของที่มีส่วนลดได้หลายร้านก็จะสนใจสมัครบัตรดังกล่าว

– แบรนด์ก็เป็นส่วนนึงของ Moat เพราะเกิดการยอมรับจากทั้งผู้ใช้บัตรและร้านค้าว่าจะได้รับชำระเงินแน่นอน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่บริษัทหน้าใหม่จะเข้ามาแย่งลูกค้าจากเจ้าตลาดเดิม

– ข้อควรระวังคือ switching cost ที่ต่ำและมีสินค้าทดแทนได้หลายใบ หรือการเกิดช่องทางชำระเงินอื่นๆในปัจจุบัน เช่น e-payment หรืแ e-wallet แต่คงต้องดูกันต่อไปอีกสักระยะว่าจะกินส่วนแบ่งได้มากน้อยแค่ไหน
4.3 ประกันภัย

– การบริหารต้นทุนการรับประกันภัยที่ต่ำเป็น Moat ของบริษัทประกันภัย เพราะลูกค้าจะไม่เต็มใจจ่ายแพงกว่าแบรนด์อื่นๆ

– บริษัทประกันที่มีสินค้าเฉพาะทาง จะไปได้ดีกว่าบริษัทที่รับประกับหลายๆแบบจับฉ่าย

– มองว่าประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่มีป้อมปราการน้อยกว่าประกันทรัพย์สินหรืออุบัติเหตุ เพราะอัตราการเสียชีวิตของคนค่อนข้างคงที่ และประกันชีวิตมีความเสี่ยงจากสภาพตลาดทุนสูงกว่า
☀5) Healthcare

เป็นกลุ่มที่มีป้อมปราการมากที่สุดกลุ่มนึงแต่ต้องแลกมาด้วยการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่สูง

5.1 ยา

– สิทธิบัตรยา เป็น Moat หลักของบริษัทผลิตยา

– บริษัทที่ Moat แข็งแรง ต้องสินค้ามีหลากหลาย เพื่อชดเชยยาบางชนิดที่สิทธิบัตรหมดอายุ หรือมีปัญหากับยาบางชนิด

– บริษัทต้องมีการวิจัยและพัฒนาอยู่เสมอเพื่อให้ได้สินค้าใหม่ทดแทนยาชนิดเดิม

– บางบริษัทเน้นโฟกัสไปที่กลุ่มโรคหายาก ซึ่งจะมี Moat ในด้านตลาดที่มีอยู่จำกัด มีผู้เล่นน้อยราย ทำให้บริษัทรักษาอัตรากำไรในระดับสูงได้ต่อเนื่อง

– พลังของเครือข่ายก็เป็นอีก Moat ของบริษัทที่แข็งแกร่งในการกระจายยาของตนไปยังโรงพยาบาลหรือร้านค้าต่างๆได้อย่างทั่วถึง
5.2 อวัยวะเทียม และ biotechnology

– Moat ส่วนใหญ่เกิดจาก ขนาดตลาดที่จำกัด มีผู้เล่นน้อยราย เพราะเป็นการรักษาโรคที่หายาก หรืออวัยวะเฉพาะส่วน

– เทคโนโลยีการผลิตที่ซับซ้อน และสิทธิบัตรก็เป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจมี Moat ที่แข็งแกร่งมากขึ้น

– ให้ระวังสินค้าทดแทนจากเทคโลโลยีอื่นๆที่อาจใช้งานได้ง่ายกว่า และมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
5.3 เครื่องมือแพทย์

– ต้นทุนการเปลี่ยนย้ายที่สูง เป็น Moat ของบริษัทกลุ่มนี้เพราะบุคลากรต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดและไม่มีความคุ้นเคย

– เครื่องมือแพทย์บางชนิด เป็นตลาดที่จำกัด มีคู่แข่งน้อย

– ต้องมีการวิจัยพัฒนาอยู่เสมอเพื่อให้สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ และสร้างป้อมปราการไม่ให้คู่แข่งชิงส่วนแบ่งของบริษัทได้ เราจึงเห็นการเข้าซื้อกิจการของบริษัทประเภทนี้เพื่อแชร์งานวิจัย สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าอยู่เสมอ แต่ต้องดูความคุ้มค่าของการเข้าซื้อว่าไม่ได้แพงเกินไปจนทำลายความสามารถของบริษัทเสียเอง
☀6) Industrial

6.1 ทางรถไฟ

– ความได้เปรียบด้านต้นทุน โดยรถไฟมีค่าขนส่งที่ต่ำที่สุดรองจากทางเรือ

– ขนาดตลาดที่จำกัดเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้บางเส้นทางรถไฟ สามารถเดินรถได้เพียง 1-2 บริษัทเท่านั้น

– พลังของเครือข่ายของเส้นทางรถไฟที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่ก็เป็นอีก Moat นึงของบางบริษัทที่กีดกันจนคู่แข่งไม่สามารถเข้ามาแย่งตลาดได้

– ในหลายประเทศมีกฎระเบียบ หรือสัมปทานจากภาครัฐทำให้ไม่มีคู่แข่งหรือมีน้อยมาก
6.2 การบริหารสนามบิน

– ส่วนใหญ่จะพบว่ามี สัมปทานจากภาครัฐ เป็น Moat ชั้นดีสำหรับบริษัทบริหารสนามบิน แต่ต้องดูว่าระยะสัมปทานจะหมดอายุกี่ปี และบริษัทสามารถขยับราคาค่าธรรมเนียมสนามบินได้หรือไม่

– อัตราการความหนาแน่ของสนามบินมีมากเพียงพอที่จะชดเชยเงินลงทุนมหาศาลหรือไม่

– ขนาดตลาดที่จำกัดเป็นอีก Moat นึงเพราะบริเวณนึงๆสนามบินจะมีเพียงแห่งเดียวหรือสองแห่ง จึงไม่มีคู่แข่งมาเปิดสู้เพราะอาจทำให้เสียหายทั้งสองฝ่าย
6.3 การขนส่งทางบกและเดินเรือ

– แทบจะไม่มีป้อมปราการเลย เพราะมีาินค้าทดแทนได้ตลอดเวลาและมี supply สูงกว่า demand เยอะ 

– แม้จะมีการบริหารต้นทุนที่ดีแต่คู่แข่งก็สามารถทำได้เช่นกัน

– มีแค่บางประเทศที่มีกฎหมายห้ามบริษัทเดินเรือประเทศอื่นๆเข้ามาบริการ ทำให้เกิด Moat อย่างอ่อนๆอยู่บ้าง

– บริษัทเจ้าของท่อเรือ มักสร้าง Moat ได้จากทำเลที่ตั้งที่คู่แข่งไม่สามารถตั้งได้ เพราะเรื่องกฎหมาย หรือลักษณะทางภูมิศาสตร์
6.4 การจัดการขยะ

– ความได้เปรียบด้านต้นทุน เกิดจากบริษัทมีการบูรณาการของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไล่ตั้งแต่การจัดเก็บขยะตามบ้าน ไปจนถึงกำจัดขยะรูปแบบต่างๆ ทั้งฝัง เผาผลิตไฟฟ้า หรือรีไซเคิล

– สัมปทาน เป็นอีก Moat ที่ช่วยให้บริษัทมีเครื่องกีดกันคู่แข่ง แต่ต้องดูว่าปริมาณขยะคุ้มค่ากับเงินค่าสัมปทานที่จ่ายไปหรือไม่

– การควบคุมมลพิษ และการฟ้องร้องจากทั้งประชาชนและรัฐ เป็นความเสี่ยงของบริษัทประเภทนี้ซึ่งอาจนำไปสู่การยึดใบสัมปทานคืน หรือชดใช้ค่าเสียหายจำนวนมาก บริษัทจึงต้องมีวิธีการบริหารจัดการให้รัดกุม
6.5 เครื่องจักรกลหนัก

– ชื่อเสียง หรือแบรนด์เป็น Moat ที่สำคัญสำหรับบริษัท ทั้งแง่ของการรับรู้ของลูกค้าและการบริการซ่อมบำรุงเปลี่ยนอะไหล่ที่รวดเร็วเพื่อให้กิจการของลูกค้าเดินต่อไปได้ไม่สะดุด

– พลังของเครือข่ายก็เป็นอีกปัจจัยหลัก เพราะลูกค้าที่ใช้สินค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ หรือทั่วโลก ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุง จัดซื้ออะไหล่ให้เพียงพอ ทำให้บริษัทไหนที่มีเครือข่ายที่กว้าง จัดหาอะไหล่ได้ง่ายย่อมมีความได้เปรียบ
☀7) Technology

เป็นหมวดที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว บริษัทที่ยื่นระยะได้ในอุตสาหกรรมนี้ล้วนมี Moats ที่แตกต่างกัน ส่วนบริษัทไหนไม่มีก็ล้มหายตายจากกันได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

7.1 เทคโนโลยีผู้บริโภค เช่น มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า

– เป็นธุรกิจที่วงจรเทคโนโลยีสั้นมาก หากใครไม่ปรับตัวมีโอกาสเพลี่งพล่ำได้ง่าย

– มีความพยายามทำให้ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย เป็น Moat ของธุรกิจ โดยหลายบริษัทพยายามผูกบริการอื่นๆไว้กับผู้ใช้งาน เช่น apple มี apple store หรือ itune ที่ลูกค้าชำระเงินซื้อเพลงแอฟไว้อาจทำให้ไม่อยากเปลี่ยนแบรนด์ (แต่ส่วนมองว่าระยะยาว Moat แบบนี้จะค่อยๆหายไป)

– บริษัทเกม เช่น EA ก็เป็นอีกบริษัทที่ทำได้ดีโดยการจดลิขสิทธิ และสร้าง Platform ของการพัฒนาเกมส์โดยใช้เวลาสั้น ต้นทุนที่ต่ำ แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะยั่งยืนในอนาคต
7.2 ระบบฮาร์ดแวร์สำหรับองค์กร

– เป็นธุรกิจที่แทบไม่มี Moat เพราะสั่งซื้อระบบหรืออุปกรณ์จากที่ไหนก็ได้ แต่บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ใช้ 3 วิธีในการผูกลูกค้าไว้กับบริษัทของตน

– วิธีแรก ผู้จำหน่ายสร้าง software เสริมของตนเองเข้าไปในระบบ เพื่อตอบสนองกับองค์กรนั้นๆ ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามี switching cost หากต้องการเปลี่ยนไปใช้ระบบอื่น และต้องอบรมพนักงานสำหรับใช้งานระบบใหม่

– วิธีสอง ผู้จำหน่ายพยายามยืดอายุระบบออกไป โดยเสนอให้มีการเพิ่ม spec ต่อเติมเข้าไปโดยใช้เงินน้อยกว่าการเปลี่ยนฮาร์แวร์ใหม่ทั้งระบบซึ่งประหยัดต่อลูกค้ามากกว่า

– วิธีสาม ผู้จำหน่ายจะเสนอบริการช่วยดูแลระบบรายปี โดยตั้งราคาไว้ต่ำกว่าขายขาด 10-20%
7.3 ผู้ผลิตสารกึ่งตัวนำ

– ความได้เปรียบด้านต้นทุน จาก Economic of scale เป็นปัจจัยแรกที่ช่วยให้ผู้ผลิต semi-conductor รายใหญ่อยู่รอดได้ และนอกจากนี้ยังเหลือกำไรส่วนเกินไว้สำหรับวิจัยและพัฒนาทำให้คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาได้อีกด้วย

– สินทรัพย์ไม่มีตัวตนได้แก่ สิทธิบัตรและงานวิจัย เป็น Moat เฉพาะตัวของแต่ละบริษัท เพราะเป็นนวัตกรรมที่หาสินค้าทดแทนได้ยาก หรือกว่าจะลอกเลียนแบบได้บริษัทก็ล้ำหน้าไปอีกขั้นแล้ว

– ผู้ผลิต Processor มักมี Moat ที่แข็งแกร่งเพราะตัวชิปมีความซับซ้อน มีผู้เล่นในตลาดจำกัด ไม่เหมือนกับผู้ผลิตหน่วยความจำที่ลอกกันง่าย
7.4 ซอร์ฟแวร์ แบ่งเป็นสองแบบคือโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชั่น

– พลังของเครือข่ายเป็นกุญแจสำคัญที่สร้าง Moat ให้บริษัทเพราะยิ่งมีผู้ใช้งานมาก ยิ่งบังคับให้บริษัทอื่นๆต้องซื้อผลิตภัณฑ์

– ต้นทุนการเปลี่ยนย้ายที่สูง หากจะเปลี่ยนต้องแก้ไขไฟล์ใหม่ทั้งหมด ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจหยุดชะงัก อีกทั้งต้องอบรมพนักงานระดับปฎิบัติการใหม่ทั้งหมด

– การประหยัดต่อขนาด บริษัทเริ่มต้นใหม่ต้องใช้เงินลงทุนปริมาณมากเพื่อต่อสู้กับบริษัทเจ้าตลาดที่มีทั้งบุคลากรและเงินทุนที่แตกต่างกันมาก

– ทรัพย์สินทางปัญญาและลิขสิทธิก็เป็นอีก Moat ของธุรกิจประเภทนี้ จึงเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจหมวดเดียวที่มีป้อมปราการค่อนข้างครบทุกหมด
7.5 โทรคมนาคม

– สัมปทาน เป็นเพียง Moat เดียวที่ช่วยกีดกันให้ธุรกิจนี้หรือที่เรียกได้ว่าผูกขาด ด้วยจำนวนคู่แข่งที่มีไม่เกิน 3-4 รายจะช่วยให้การแข่งขันไม่รุนแรกจนเกินไป แต่ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่าต้นทุนสัมปทานที่ได้มาคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่

– ขนาดของเครือข่ายเป็นอีก Moat ที่ช่วยให้ธุรกิจที่มีเครือข่ายกว้างและครอบคลุมมีความได้เปรียบ

– กฎระเบียบและการควบคุม แทรกแซงจากภาครัฐอาจส่งผลเสียต่อธุรกิจประเภทนี้ได้เช่นกัน จึงจัดอันดับ Moat ของกลุ่มนี้ไว้เพียงระดับอ่อนแอ

– การแย้งลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิม ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงจนทำลายป้อมปราการของธุรกิจหรือไม่ เป็นอีกข้อที่ควรพิจารณา

– การรักษาสัดส่วนการตลาด และการเพิ่ม AMPU(รายได้จากการดำเนินงาน/จำนวนผู้ใช้งาน) มีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต ซึ่งแต่ละประเทศจะแตกต่างกันไป
☀8) Utility โรงไฟฟ้า โรงผลิตน้ำประปา

– โดยปกติมี Moat จากใบอนุญาตโรงไฟฟ้าที่ต้องใช้เวลานานในการดำเนินการขอจากรัฐและมีโควต้าจำกัดในแต่ละพื้นที่ 

– มีข้อจำกัดคือ ราคาขายที่ถูกกำหนดไว้ตายตัวทำให้ผลตอบแทนไม่ได้สูงกว่าปกติ

– สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้า ที่มีทำเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ อาจเป็น Moat อย่างอ่อนๆอีกชั้นนึงที่ช่วยสร้างผลตอบแทนส่วนเกินจากต้นทุนที่ดีกว่าคู่แข่ง

– บางบริษัทมีเทคโนโลยีขั้นสูงเฉพาะตัว เช่น Ormat Technologies ที่พัฒนาการใช้พลังงานจากคความร้อนใต้พิภพ ที่แทบไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง มาผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพกว่าคู่แข่งอื่นๆในตลาด
หากใครสนใจก็เก็บไว้เพื่อเวลาเราวิเคราะห์บริษัทและต้องการดูว่าบริษัทมี Moats หรือไม่ และแนะนำว่าลองซื้อมาเก็บไว้หนุน เอ้ย อ่านกันครับ
สุดท้ายเมื่อบริษัทมีป้อมปราการที่ดี การรักษาระดับรายได้-กำไรก็จะน่าเติบโตเป็นไปได้อย่างราบรื่นในอนาคตครับ :3
#ทีมมาร์เทพ รายงาน